ประกาศผลการประกวดวรรณกรรมการเมืองรางวัลพานแว่นฟ้า ประจำปี ๒๕๕๔
วันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๕๔
นายพิทูร พุ่มหิรัญ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ประธานคณะกรรมการรางวัลพานแว่นฟ้า ประจำปี ๒๕๕๔ ร่วมกับ นายเจน สงสมพันธุ์ นายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย และคณะกรรมการรางวัลพานแว่นฟ้า ปี ๒๕๕๔ ได้แถลงว่า
ผลการประกวดวรรณกรรมการเมืองรางวัลพานแว่นฟ้าในปีนี้
ประเภทเรื่องสั้นการเมือง
รางวัลชนะเลิศ (ไม่มีผลงานใดถึงเกณฑ์ได้รับรางวัล)
รางวัลรองชนะเลิศ มี ๒ รางวัล ได้แก่
ผลงานเรื่อง “ผีดิบ” โดย ไมเคิ้ล เลียไฮ
เรื่องสั้น “ผีดิบ” เป็นการนำเสนอภาพแทนสังคมการปกครอง (Representation) ในห้วงเวลาที่ผู้คนปกติซึ่งยังมีลมหายใจอยู่นั้นไร้ความหวัง ไร้ทางออก กับระบบการเมืองและการเลือกตั้ง เมื่อการเมืองที่กำหนดอนาคตประเทศเต็มไปด้วยความฉ้อฉล คอร์รัปชั่น ผู้คนต้องการทางเลือกใหม่ที่ไม่มีคอร์รัปชั่น ไม่ต้อง
นับถือเงินเป็นหลัก บริโภคเพียงสิ่งที่จำเป็น สิ่งนี้ได้ก่อเกิดสิ่งประหลาดขึ้นในสังคม เมื่อเกิดการฟื้นคืนชีพของ
ผีดิบ ซึ่งไม่ต้องกินต้องนอน ใส่เสื้อผ้าชุดเดียว สิ่งที่ไม่มีลมหายใจนี้ได้กลายเป็นความหวังของคนที่ยังมีลมหายใจ และเมื่อมีพรรคการเมืองของผีดิบลงสมัครเลือกตั้ง ผู้คนจึงเทคะแนนเสียงให้แก่พวกเขา
ความเด่นของเรื่องสั้นเรื่องนี้อยู่ที่ชั้นเชิงการนำเสนอที่ซ้อนกัน ๓ ชั้น คือ ๑) ให้ภาพของความหวัง โดยเทียบกับผู้คนปกติที่ยังมีลมหายใจ ๒) ให้ภาพความตายหรือคนตายที่หมดสิ้นแล้วซึ่งความโลภ หากสังคมที่เป็นอยู่ไม่มีทางออก สังคมของผู้ไร้ลมหายใจจึงถูกสร้างซ้อนขึ้นมาเป็นความหวังครั้งใหม่ เป็นการนำเสนอที่ให้เกิดภาพแรงในที ให้เกิดการตื่นคิดแก่คนอ่าน ๓) เมื่อพรรคผีดิบได้รับชัยชนะ บรรดานักการเมือง
ที่หวังชัยชนะจึงต้องการเปลี่ยนสภาพเป็นผีดิบด้วย นั่นหมายถึงว่าไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตามคนที่ต้องการอำนาจทางการเมืองก็ยังพร้อมจะแปรเปลี่ยนเพื่อชัยชนะเสมอ ไม่ว่าจะให้เป็นคนหรือผี
ผลงานเรื่อง “ไม่มีแผ่นดินอยู่” โดย นรพัลลภ ประณุทนรพาล
“ไม่มีแผ่นดินอยู่” เป็นเรื่องสั้นที่นำเสนอภาพความสับสนในเหตุการณ์สามจังหวัดชายแดนใต้ ด้วยภาษาแห่งความเศร้าลึก สะเทือนอารมณ์ ในสังคมที่เกิดความน่าสะพรึงกลัวขึ้นวันแล้ววันเล่า สังคมถูก
ตัดขาดจากภายนอก แม้แต่ข่าวสารในพื้นที่ต่างก็รับรู้จากสื่อโทรทัศน์ส่วนกลาง และข่าวที่มาจากแดนไกลนั้น
ก็เป็นข่าวที่สับสน ขณะข่าวจากแดนไกลนั้นก็มีภาพมิต่างกันมากนัก โลกที่ผ่านโทรทัศน์สีที่ภาพเหมือนกับโทรทัศน์ขาวดำนั้นบอกว่าการชุมนุมในเมืองหลวงก็ขยายตัวไปทุกทิศทุกทาง สิ่งนี้ทำให้คนที่อยากออกจากพื้นที่
ไปอยู่ที่อื่นเกิดความลังเล แม้จะรู้ว่าปฏิทินมีวันพรุ่งนี้ แต่ดูเหมือนวันเวลาได้หดสั้นลงไปเรื่อย ๆ
ความโดดเด่นของเรื่องสั้นเรื่องนี้คือความสะเทือนใจของคนผู้รักถิ่นกำเนิด ผูกพันกับสถานที่ แต่เมื่อบ้านเมืองไม่อยู่ในภาวะสงบ พวกเขาจึงยังไม่รู้ว่าเมื่อเดินทางออกจากที่นั่นแล้วจะไปพบกับสิ่งใด การต่อสู้ภายในจิตใจที่มาจากผลของความไม่สงบจากภายนอกทำให้ผู้เขียนได้นำเอาศิลปะความเหนือจริง สร้างสัญญะการพยายามเดินออกจากปัญหาด้วยสะพานข้ามสีขาวที่เคยมีอยู่ แต่ปลายทางนั้นเขาได้พบกับญาติพี่น้องที่เสียชีวิตกำลังรออยู่
ประเภทบทกวีการเมือง
รางวัลชนะเลิศ ได้แก่
ผลงานเรื่อง “มนุษย์เหวย เหวยมนุษย์” โดย นรพัลลภ ประณุทนรพาล
“มนุษยเหวย เหวยมนุษย์” โดดเด่นด้วยการนำโลกในอุดมคติที่ไม่มีการแบ่งแยกผู้คนและสรรพสิ่งออกจากกัน โดยยั่วแย้งให้เห็นว่ามนุษย์นี่แหละที่สร้างความขัดแย้งต่าง ๆ ขึ้น โดยตั้งคำถามถึงความหมายของแผ่นดิน ขอบเขตแห่งรัฐ การปกครอง จักรวาล อธิปไตย ความรัก ความเป็นมิตร การประกาศชัยชนะ โดยชี้ให้เห็นว่าความขัดแย้งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกนั้นมิได้มาจากสิ่งอื่นใด มาจากมนุษย์นั่นแล
การนำเสนอบทกวีชิ้นนี้ ใช้บทกวีฉันทลักษณ์ จัดวางลำดับข้อความท้ายสุดเป็นกลบท ให้โยงมาขึ้นต้นในบทต่อไป นับเป็นความพยายามของผู้ประพันธ์ในการควบคุมตัวความของเรื่องมิให้หลุดออกนอกประเด็น ทำให้เกิดจังหวะความงามส่งให้ประเด็นนำเสนอมีความโดดเด่นขึ้นมา
รางวัลรองชนะเลิศ ได้แก่
ผลงานเรื่อง “นี่หรือคือประเทศของข้าพเจ้า”โดย เจริญขวัญ
“นี่หรือคือประเทศของข้าพเจ้า” เป็นบทกวีฉันทลักษณ์ที่ตั้งคำถามถึงแผ่นดินบ้านเกิด
เมืองนอนที่เกิดความร้าวฉาน สร้างความชิงชัง เข่นฆ่ากันในนามการสถาปนาอธิปไตย ผู้เขียนได้ใช้ภาษาสะเทือนอารมณ์ภายใน โดยบอกให้เห็นว่าภายใต้เงื้อมเงาเช่นนี้แสงแห่งความหวัง ดอกไม้ที่จะผลิบาน และหนทางที่จะก้าวไป ก็ดูมืดมน หม่นมัว หลงทิศผิดทาง ในท่ามกลางการผลิแยกของแผ่นดินนั่นคือความพ่ายแพ้ของทุกคน
บทกวีชิ้นนี้มิได้ให้ความหวัง มิได้บอกถึงหนทางที่จะเดินออกไปจากปัญหา แต่การที่กวีใช้ภาษาในระดับของการสร้างอารมณ์สะเทือนใจได้นั้น ก็น่าจะทำให้ผู้อ่านได้คิดหาทางออกว่าเราจะเดินออกจากความย่อยยับ เพื่อไปสู่วันพรุ่งนี้ได้อย่างไร
สำหรับรางวัลชนะเลิศ และรองชนะเลิศ นอกจากจะได้รับถ้วยรางวัลพานแว่นฟ้าแล้วจะได้รับเงินรางวัลประเภทละ ๕๐,๐๐๐ บาท รางวัลรองชนะเลิศประเภทละ ๓๐,๐๐๐ บาท รางวัลชมเชย ประเภทละ ๑๐ รางวัล เงินรางวัลรางวัลละ ๑๐,๐๐๐ บาท จะมีพิธีมอบรางวัลโดยประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานรัฐสภา ในวันศุกร์ที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๔ เวลา ๐๘.๓๐ นาฬิกา ณ อาคารรัฐสภา สอบถามรายละเอียดรางวัลอื่นได้ที่ ๐๒- ๒๔๔๒๕๑๕-๖ หรือ www.parliament.go.th