กลอนบรรยายเมืองสิงห์บุรี เมื่อ พ.ศ 2466
พลตรี ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช เกิดในเรือระหว่างที่พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าคำรบ เดินทางกลับไปนครสวรรค์ ตำบลที่เกิดนั้น คือตำบลบ้านม้า ปัจจุบันคือตำบลประศุก เขตอำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี
การคมนาคมระหว่างกรุงเทพกับนครสวรรค์สมัยโน้น ใช้ทางเรือเป็นหลัก ผมพยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับสภาพการเดินทางทางเรือแถบอำเภออินทร์บุรีอยู่ แต่ยังค้นไม่พบ
ตอนนี้พบเพียงบันทึกเรื่องเมืองสิงห์บุรีเท่านั้น ยังขึ้นไปไม่ถึงอินทร์บุรี จึงขอนำมาเสนอไว้เป็นหลักฐานชิ้นแรกก่อน
เรื่องการเดินทางทางเรือแถบสิงห์บุรีนี้ ผมคัดมาจากเรื่อง “นิราศตามเสด็จ”เขียนโดยพระยาอนุศาสน์จิตรกร จิตรกรคนสำคัญในรัชกาลที่หก พิมพ์แจกในงานศพ คุณหญิงอนุศาสน์จิตรกร (ชุ่ม จิตรกร) 24 มีนาคม พ.ศ 2471
พระยาอนุศาสน์จิตรกร เขียนนิราศเรื่องนี้ขึ้นระหว่างตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ประพาสมณฑลอยุธยาและมณฑลนครไชยศรี พ.ศ 2466 ครั้งนั้นพระองค์เสด็จประพาส นครไชยศรี สุพรรณบุรี อ่างทอง สิงห์บุรี และลพบุรี ขบวนเสด็จไปไม่ถึงอินทร์บุรี ไม่เช่นนั้นคงมีเนื้อความกล่าวถึงตำบลบ้านม้า ที่เกิดของพลตรี ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช
การเสด็จประพาสครั้งนั้น เป็นขบวนใหญ่ มีเรือร่วมขบวนมากมาย ผมจะคัดมาเสนอเฉพาะฉากบรรยายเมืองสิงห์บุรี (ตั้งพลับพลาประทับแรมอยู่หน้าวัดพรหมสาคร) ดังนี้
๐ เรื่อย ๆ มานาวาถึงบ้านแป้ง
ป็นเขตแขวงเมืองสิงหืกิ่งสถาน
ให้นึกถึงนงเยาว์ลำเพาพาล
พี่จัดการให้มีที่สำอาง
โถแก้วเจียระไนนั้นใส่แป้ง
ล้วนแก้วแดงตั้งเด่นเห็นสล้าง
ขวดน้ำหอมสวยใสวิไลบาง
น้องจัดวางผ่องผาดสะอาดดี ฯ
๐ ลิ่ว ๆ มากระทั่งยังพลับพลา
เขาปลูกหน้าอารามดูงามศรี
วัดพรหมสาครท่าใกล้วารี
ในถิ่นที่แถวทางบางพุดทรา
เวลาเที่ยงเรือลำประจำทรง
ก็แล่นตรงเรื่อยไปมิได้ช้า
จากไชโยกระทั่งยังพลับพลา
บางพุดทราเศษหมายบ่ายสี่โมง
อันเมืองสิงห์ใกล้ท่าชลาสินธุ์
อันฐานถิ่นสุโขดูโอ่โถง
มีบ้านช่องเคหาศาลาโรง
ตั้งต่อโยงติดไปจนไกลตา
จังหวัดนี้พระองค์เคยประพาส
ไม่ใคร่ขาดปีกาลนานหนักหนา
ครั้งดำรงยุพราชก็ยาตรา
จำติดนัยนาทั่วตำบล
ทั้งหญิงชายไม่น้อยมาคอยเฝ้า
พระผ่านเผ้าทั่วแขวงทุกแห่งหน
ด้วยจงรักภักดีเป็นที่ล้น
เจ้าของตนเสด็จมาถึงธานี
พวกผู้หญิงหลายหลากเห็นมากมาย
ล้วนแต่งกายต่าง ๆ สำอางศรี
บ้างเดินไปเกินมาริมวารี
ไม่เห็นมีสวยล้นจนคนเดียว
หาบกระบุงนั่งรายขายสิ่งของ
ใส่แผงกองเม็ดบัวและถั่วเขียว
อ้อยควั่นพลูหมากคนอยากเคี้ยว
ปากบูดเบี้ยวบ้วนแดงทุกแห่งไป
มีบุหรี่ขีดไฟใส่จานรอง
พวกเรือมองซื้อกันสนั่นไหว
ที่หน้าตาหมดจดขายหมดไว
คนพอใจสรวลเสอยู่เฮฮา
พอราตรีจุดไฟไม้กระบอก
เอาหลักตอกสองง่ามตามหน้าท่า
เป็นทิวแถวตามทางข้างมรรคา
ดูไกลตาสวยศรีชั่งดีครัน
ทางจังหวัดจัดลิเกมาถวาย
ช่างหยาบคายเชิงเล่นไม่เห็นขัน
มันโลนยิ่งกว่าโลนถึงโดนกัน
ช่างจัดสรรมาเล่นไม่เห็นดี
อันวานรมันเล่นมักเห็นขัน
เพราะมันไม่รู้ประสาประสี
เป็นคนผู้ควรรู้การร้ายดี
น่าบัดสีเหลือคำจะรำพรรณ ฯ
ครั้นถึงวันที่สองเดือนตุลา
จึงเตรียมลำนาวากันเหหัน
ออกล่วงหน้าจากท่าเมืองสิงห์พลัน
ต่างผูกพันเรือฉุดกันรุดมา
พระพิรุณโปรายปรายเป็นสายสาด
ทั้งอากาศครึ้มมัวไปทั่วฟ้า
ต่างคนต่างออกลำนาวา
เข้าคลองบางพุดทราไปตามกัน
ตามระยะกะทางหกชั่วโมง
พวกเรือโยงมากมายรีบผายผัน
จะได้ไปถึงที่แต่วี่วัน
หาที่มั่นเหมาะจอดตามชอบใจ ฯ
ขบวนเสด็จผ่านคลองบางพุดทราไปจนถึงลพบุรี ในช่วงนี้พระยาอนุศาสน์จิตรกร บรรยายทุ่งนาเปรียบเทียบ “นาลุ่ม –นาดอน” ไว้ดีมาก ดังนี้
๐ สังเกตข้าวในนาเวลาเห็น
ดูคล้ายเช่นเห็นงามสนามหญ้า
บางลุ่มดอนหว่านดำคอยน้ำมา
ที่ทุ่งนาหลายอย่างต่าง ๆ กัน
ที่นาดีมีอยู่เป็นบางแขวง
ไม่เหนื่อยแรงกรรมกรได้ผ่อนผัน
ได้ผลดีหลายหลากมากอนันต์
เป็นนิรันดร์เช่นนี้ดังมีมา
ที่นาดอนผู้ทำนั้นลำบาก
ต้องเหนื่อยยากจึงสมปรารถนา
ต้องอาบเหงื่อต่างน้ำทุกวันมา
จึงจะได้ข้าวปลาเหมือนนาดี
เหมือนทำราชการต้องพานโชค
ได้โฉลกพูนเพิ่มเฉลิมศรี
แม้ว่านายเมตตาคิดปรานี
อาจมีลาภยศด้วยง่ายดาย
ใครอยู่ห่างต่างว่าเหมือนนาดอน
ต้องเหนื่อยอ่อนลำบากยากใจหาย
ต้องอาบเหงื่อเป็นเทือกตะเกือกตะกาย
ยังไม่หมายลาภยศได้งดงาม ฯ