บทละครเรื่อง “ดาหลัง” พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นเรื่องอ่านสนุก แม้จะมีเรื่องราวการสงครามสลับกับฉากรักอยู่หลายครั้ง แต่บทกลอนที่บรรยายฉากสงครามมีไม่มากและก็ไม่ดุดันหวาดเสียว มีฉากที่ยาวที่สุด คือตอน “ทหารเอกของปันหยี ยกกองทัพไปตีเมืองตระเส” ระตูตระเส เจ้าเมืองตระเสยกกองทัพออกสู้รบกับกองทัพทหารเอกปันหยี บทละครบรรยายดังนี้ เมื่อระตูตระเส ยกทัพออกนอกเมืองก็พบกับกองทัพของปันหยี
๐ ครั้นออกมานอกพารา
เห็นทหารชาญหล้าของปันหยี
รี้พลเกลื่อนกราดปฐพี
มาตั้งมั่นคอยทีจะชิงชัย
ระตูเกรี้ยวโกรธพิโรธจิต
ให้ทหารชาญชิตเข้าลุยไล่
จงจับตัวมาฆ่าให้สมใจ
สับแล่ให้ละเอียดเป็นผงคลี ฯ
๐ บัดนั้น
เหล่าทหารรับสั่งใส่เกศี
เข้าไล่บุกรุกโรมโจมตี
ฝ่ายทหารปันหยีก็รับรอง
ด้วยชำนาญชาญรบนั้นเจนใจ
ท่วงทีหนีไล่ก็แคล่วคล่อง
ทหารข้างระตูตายก่ายกอง
โลหิตไหลนองปฐพี ฯ
๐ เมื่อนั้น
ระตูเจ้ากรุงบุรีศรี
เห็นทหารล้มตายวายชีวี
ก็โกรธาฝ่ารี้พลขึ้นไป
ไกวแกว่งพระแสงทวนทรง
แทงทหารชาญณรงค์น้อยใหญ่
ทหารข้างปันหยีเคยมีชัย
หลบหลีกว่องไวชำนาญชาญ
อาวุธมิได้ต้องกาย
แล้วกลับร้องท้าทายด้วยใจหาญ
ดูกรระตูภูบาล
ตัวท่านชาติเชื้อกษัตรา
สิอวดศักดิ์ยกตนว่าดี
มาต่อฝีมือโยธีไม่สมหน้า
เอาพิมเสนมาแลกเกลือให้ลือชา
กัตราจะมากลิ้งอยู่กลางดิน
จงกลับจิตคิดกลอุบายใหม่
อย่าให้โลกไยไพติฉิน
ตัวเราเหล่าทหารพระภูมินทร์
ได้ต่อกรไพรินก็ยินดี
เห็นไม่ละลดฝีมือให้
ไม่เกรงใจกษัตริย์ผ่านกรุงศรี
กระหยิ่มจิตจะล้างชีวี
เจ้ากรุงธานีจะวายปราณ ฯ
๐ เมื่อนั้น
ระตูได้ฟังเหล่าทหาร
เจ็บอกดังหอกสุรกานต์
ให้ทะยานฤทัยโกรธา
กระทืบบาทพลางร้องตวาดไป
หวยไอ้ข้าโจรไพรชาวป่า
โอหังบังอาจเจรจา
เหน็บแนมแกมว่าไม่เจียมใจ
ถึงจ้าวมึงซึ่งว่าฤทธิรงค์
อย่าทะนงกูจะงดอย่าสงสัย
อันเกิดมาเป็นพระยาคชไกร
มิได้ย่อท้อต่อสงคราม
อันตัวมึงทรลักษณ์อัปรีย์
แต่ว่ามีฤทธีชาญสนาม
กูจะบำรุงสง่าให้ลือนาม
จะศึกษาสงครามให้เจนใจ
มึงกลัวตายจงไปเอาจ้าวมึงมา
กูจะล้างชีวาให้ตักษัย
อย่าวาทีเชือนชักให้ช้าไป
กูไซร้ไม่ฟังวาจา
เป็นกรรมของระตูจะม้วยมิด
ให้เคลิ้มจิตมืดมัวโมหา
เร่งรีบกะระตะอาชา
เข้าเข่นฆ่าทหารชาญฉกรรจ์ ฯ
๐ บัดนั้น
นายพลรับรองดั่งกังหัน
ขับม้าฝ่ารอต่อประจัญ
ด้วยเข้มขันชำนาญการราวี
แล้วชักม้าตระหลบเวียนวก
จึงพุ่งทวนถูกอกเจ้ากรุงศรี
ตกกระเด็นไปจากพาชี
มอดม้วยชีวีพิราลัย ฯ
ระตูตระเส ตายในสนามรบ! กองทัพเมืองตระเสพ่ายแพ้ หลังจากนั้น ปันหยี” ก็เดินทางมาเอาตัวธิดาของระตูตระเสไปเป็นเมีย....ตามธรรมเนียมละครไทย การรบด้วยอาวุธวิเศษ ประเภทเทวดาประทานมาให้ก็มีหลายตอน เช่น “เชือกมนต์” อาวุธวิเศษของ “ศิริกัน”ที่ขอเทวดามาใช้ ทั้ง ๆ ที่เทวดาเตือนบอกว่า ถ้าใช้เชือกมนต์แล้วจะมีชีวิตต่อไปได้เพียง 7 วัน คนเราหน้ามืดตามัวด้วยกิเลสก็ยังยอมแลกชีวิตตนเองเพียงเพื่อจะได้อาวุธวิเศษมาทำร้ายคนอื่น “ศิริกัน” สามารถใช้เชือกมนต์ มัดตัว “กุดาวิริหยา”และ”มิสาหยัง” สองพี่น้องไว้ได้ แต่สุดท้ายศิริกันก็พ่ายศึก ต้องตายไปตามคำเทวดาเตือน
๐ เมื่อนั้น
ระเด่นศิริกันศรีใส
เห็นสององค์บุกรุกเข้าไป
ภูวไนยขัดเคืองวิญญา
จึ่งทิ้งเชือกมนต์มาทันที
สั่งให้มัดสองศรีผู้ใจกล้า
ฝ่ายว่าเชือกมนต์เทวา
ก็มาดั่งวาจาฉับพลัน
รวดเร็วดั่งหนึ่งมีวิญญาณ
ก็มัดสองภูบาลไว้ขึงขัน
แล้วไปไว้ตรุในไพรวัน
ครั้นแล้วเชือกนั้นก็กลับมา ๐
ทองแถม นาถจำนง