โชติช่วง นาดอน (ทองแถม นาถจำนง)
บทความ “คำฉันท์ 3” ข้าพเจ้าพิมพ์ต้นฉบับตกไป ในกาพย์ฉบัง บทที่ว่า
๐ ฟอนฟันฟาดขากคอยักษ์ ด้วยเดชอนรรฆ
แห่งผู้สิทธิอวยพระพรฯ
วรรณคดีประเภทฉันท์ที่อ่าน “มัน” มาก ตามความชอบส่วนตัวของข้าพเจ้าคือเรื่อง “อนิรุทธคำฉันท์” เพราะมีเรื่อง “เทพ” รบกันเอง....
พระกฤษณะ ซึ่งคือพระนารายณ์อวตารมาอยู่เมืองมนุษย์ รบกับพาณาสูรราชซึ่งเป็นยักษ์
แต่พระอิศวรดันมาช่วยพาณาสูรราช รบกับมนุษย์ (พระกฤษณะ)
มาช่วยยักษ์รบกับมนุษย์ แล้วยังเอาชนะพระกฤษณะ(มนุษย์)ไม่ได้ หมดทางเข้าก็จะใช้ “ตาที่สาม” ผลาญพระกฤษณะและกำลังพล แต่เหล่าเทวดาทั้งหลายพากันขอร้องห้ามไว้ พระอิศวรจึงต้องปล่อยให้พาณาสูรราชรับผิดชอบตัวเอง ออกไปรบกับพระกฤษณะ ซึ่งก็พ่ายแพ้(ตามระเบียบของวรรณคดี) ถูกตัดแขนทั้งพัน
พระอิศวรก็ยังสงสาร ขอชีวิตของพาณาสูรราชไว้ พระกฤษณะจึงเหลือแขนไว้สองแขน และไว้ชีวิตพาณาสูรราช
แล้วทำไม “อ่านมัน”.....
ก็เทวดารบกันเอง แถมแบ่งข้างกัน ฝ่ายหนึ่งไปช่วยพวกมาร !
ทำให้เรารู้ว่า สังคมไทยเป็นเช่นนี้มานมนานแล้ว เทพ – ยักษ์ – มาร – มนุษย์ แตกแยกแบ่งพรรคแบ่งพวกรบราฆ่าฟันกันเองมาตลอด !
เมื่อก่อนนี้ วงวิชาการตั้งประเด็นสงสัยว่า “อนิรุทธคำฉันท์” นี่แปลก เพราะไม่มีประณามพจน์ บทไหว้สรรเสริญปวงเทพและไหว้ครู
ข้าพเจ้าเห็นว่า
1.“ประณามพจน์” อาจจะมี แต่สูญหายก็เป็นได้
2.ผู้ประพันธ์อาจไม่อยากให้มี เพราะตอนท้ายเรื่องเหล่าเทพอันสูงสุด ได้แก่พระอิศวร พระนารายณ์ (ในบทกฤษณะ) รบราฆ่าฟันกันเอง แถมพระอิศวรยังกลายไปเป็นพวกสนับสนุน “มาร” ร้าย ผู้ประพันธ์อาจไม่อยากเขียนฟูมฟายไหว้เทพเจ้าเหล่านั้น....
3.ผู้ประพันธ์ท่านเขียนไว้ในตอนจบท้ายเล่ม เป็นการสร้างสรรค์ เลี่ยงจากความเคยชินแบบเก่า
ปัญหาอีกประเด็นหนึ่งคือ เมื่อก่อนเสนอกันว่า “ศรีปราชญ์” เป็นคนแต่งเรื่องอนิรุทธคำฉันท์ เพราะตอนท้ายเรื่อง มีโคลงปิดเล่มว่า
๐ จบอนิรุทเรื่องเรื่อง.....รณรงค
ศรีปราชปัญายง...........แต่งไว้
ใคร จ แต่งปรสง..........เอาหย่าง นี้นา
จักเฟื่องฟูเกียรติให้.......เลื่องล้ำลาญผล ฯ
ข้างต้นสะกดการันต์ตามโบราณครับ ปัญายง = ปัญญายง , ปรสง = ประสงค์ , หย่าง = อย่าง
แต่ อาจารย์สุมาลี วีระวงศ์ อธิบายไว้ในเรื่อง “อนุรุทธคำฉันท์” (หนังสือ “นามานุกรมวรรณคดีไทย ชุดที่ 1 ชื่อวรรณคดี”) ว่า
“อนิรุทธ์คำฉันท์” เป็นวรรณคดีสมัยอยุธยา แต่งด้วยคำระพันธ์ประเภทฉันท์ กาพย์ฉบังและกาพย์สุรางคนางค์ ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้แต่ง เดิมเชื่อกันว่าศรีปราชญ์เป็นผู้แต่ง เพราะมีผู้เขียนโดยเติมไว้ข้างท้ายว่า “ศรีปราชญ์ปัญญายง แต่งไว้” แต่จากการศึกษาของนักวรรณคดีเชื่อกันว่าศรีปราชญ์ไม่มีตัวตน อาจเป็นไปได้ที่อนิรุทธ์คำฉันท์จะแต่งในสมัยเดียวกับสมุทรโฆษคำฉันท์ เพราะผู้แต่งอาจเป็นคนกลุ่มเดียวกัน เพราะสำนวนโวหารใกล้เคียงกันทั้งแนวนิยมด้านวรรณศิลป์และความเก่าใหม่ของภาษา จุดประสงค์การแต่งอนิรุทธ์คำฉันท์ ปรากฏที่ท้ายเรื่องว่า กวีแต่งเรื่องนี้ขึ้นเพื่อเป็นการสนองคุณผู้ที่ตนนับถือ และขออานิสงส์ของการแต่งจงดลบันดาลให้ถึงพระนิพพานในที่สุด ตราบใดยังไม่นิพพานก็ขอให้มั่นคงในศีลทาน อายุยืน และทรงคุณความรู้รวมทั้งอาคมตลอดไป”
สำหรับเนื้อเรื่อง “อนิรุทธ์คำฉันท์” ขอเสนอตามบทย่อเรื่องของอาจารย์สุมาลี วีระวงศ์ ในหนังสือที่อ้างไปแล้วดังนี้
“เนื้อเรื่องของอนิรุทธ์คำฉันท์ ดำเนินความตั้งแต่พระอนิรุทธ์ทูลลากระกฤษณะผู้เป็นอัยกา และลาสาวสนม ก่อนออกจากเมืองทวารพดีไปล่าสัตว์ในป่า อาทิ เสือ ควายป่า แรด ช้าง ฯลฯ ด้วยความเก่งกาจ
ครั้นค่ำลงก็ประทับใต้ร่มไทร พระไทรมีความเอ็นดูจึงอุ้มไปสมนางอุษา ธิดาเจ้ากรุงพาณ ที่โสณนคร แล้วพากลับก่อนรุ่งสาง
นางอุษาตื่นบรรทมมีความโศกเศร้า จึงสั่งนางพิจิตรเลขาพี่เลี้ยงให้วาดรูปหาตัวผู้มาสมนาง ครั้นพบว่าเป็นพระอนิรุทธ์ก็ให้นางเหาะไปลอบรับมาหา อยู่ร่วมกันในตำหนัก ต่อมามีผู้รู้และเกิดข่าวลือออกไป
กรุงพาณ หรือ พาณาสูร ราชบิดาทราบเรื่องจากนางกำนัลก็กริ้ว จึงจัดขบวนทัพมาล้อมรบกับพระอนิรุทธ์ แผลงศรนาคได้ชัยชนะจับพระอนิรุทธ์มัดประจานไว้หน้าพระลาน พอดีพระนารทฤาษีดีดพิณพลางเหาะผ่านมาเห็นเข้า ก็รีบไปบอกพระกฤษณะ พระกฤษณะจึงมีโองการประชุมพล หาพระปรัทยุมน์และพลเทพมาพร้อม เสด็จด้วยพาหนะครุฑไปยังโสณนคร นาคที่รัดพระอนิรุทธ์ทนฤทธิ์ครุฑไม่ได้จึงคลายขนดหนีไป ฝ่ายกรุงพาณมีพระเพลิงและพระอังครสเป็นกองหน้า ออกสู้รบก็พ่ายแพ้ พาณาสูรจึงรีบไปฟ้องพระอิศวรให้เสด็จมาช่วยพร้อมทั้งขันทกุมารและพระวิฆเนศวร์ สองฝ่ายต่อสู้กันก้ำกึ่งไม่แพ้ชนะแก่กัน พระอิศวรคิดจะลืมพระเนตรที่สาม แต่เทวดาและฤาษีพากันขอร้องให้ทรงยับยั้ง เพราะเกรงโลกทั้งสามจะพินาศ พาณาสูรจึงเข้าสู้รบด้วยตนเอง ถูกพระกฤษณะจับได้แล้วตัดกร ทั้งพันให้เหลือเพียงสอง พระอิศวรทรงขอชีวิตไว้ ให้เป็นทวารบาล พระกฤษณะจึงอนุโลมตาม แล้วพาพระอนิรุทธ์ นางอุษาขึ้นทรงครุฑร่วมกับพระองค์และพระปรัทยุมน์ กลับคืนสู่เมืองไลยบุรี (น่าจะเป็นเมืองทวารพดี ของพระกฤษณะนั้นเอง)”