คำฉันท์ (๘)
โชติช่วง นาดอน (ทองแถม นาถจำนง)
มัทรีคำฉันท์
ก่อนอื่นเชิญอ่าน “วสันตดิลกฉันท์ ๑๔” ฉากชูชกเดินดง ที่ไพเราะมาก กวีเล่นเสียงอักษร แสดงฝีมือเต็มที่ ดังนี้ (สะกดการันต์ตามต้นฉบับดั้งเดิม)
๐รอนรอนระวีวรจะดับ จรลับ ณ เหลี่ยมไศล
แซ่ศัพทเสียงสกุณไพร ระเร่งร้องระงมเสียง ฯ
รอน-รอน-ระ-วี-วะ-ระ
ลับ –เหลี่ยม – ไหล
แซ่ – ศัพ – เสียง – สะ
ระ – เร่ง – ร้อง – ระ
บทต่อ ๆ ไปก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน
๐ หมู่นกก็นำวิหคฝูง และประนังมารังเรียง
ริ่วริ่วระเรื่อยสุรสำเนียง ชะนีโหยละห้อยหวน
พวกผีก็ผิวพจประนัง สุรศัพทครางครวญ
ส่งเสียงประสานหัดถก็สรวล ระริกร้องวังเวงไพร
แสรกเสียงสะท้านวนวิเวก จิตรหวาดก็หวั่นไหว
สากสากสำเนียงสัตวคระไลย จรเที่ยวคะนองเดิน
เย็นเยือกยะเยียบทุกทิศา หิมะเวศเถื่อนเถิน
ภูตผีโขมดสุรก็เกริ่น พจนกู่ ตโกนขาน
ฟ้าอับชะอำพรชอุ่ม ชรอื้อ ณ ดงดาล
พราหมณ์ทึกสท้านกมลมาลย์ ศิรเสียงแสยงขน
เถ้าไปก็ปลอดสรพไภย บ่มิอาจเอื้อมผจญ
เพื่อเพิ่มบำเพ็ญผลกุศล สธาท้าวก็โดยดาย ฯ
ใครว่าฉันท์มีแต่คำบาลี สันสกฤต อ่านเข้าใจยาก.......
ไม่ต้องพึ่งศัพท์แปลยาก ก็แต่งเป็นฉันท์ได้ แถมยังไพเราะมาก บทนี้ “ยอดเยี่ยม” ทั้งรสและอรรถ
ฉันท์บทข้างต้น อยู่ในเรื่อง “กุมารคำฉันท์” ที่ข้าพเจ้าเขียนถึงในตอนที่แล้ว กุมารฉันท์ เป็นนิพนธ์ของ “พระองค์เจ้าหญิงมณฑา” กับ “พระองค์เจ้าหญิงอุบล” พระราชธิดาในสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่หนึ่ง
ต่อไปเชิญอ่าน “วสันตดิลก ฉันท์ ๑๔” อีกบทหนึ่ง
๐ บัดนี้พิบากพิบัติเบียน สถิตยเสถียรพนมเนิน
ไร้ร้างพลาพลพเอิญ ทรมานพระกายา ๐
บัด-นี้-พิ-บาก-พิ-บัด-ติ-เบียน สะ-ถิด-สเถียน-พะ-นม-เนิน
ไร้-ร้าง-พะ-ลา-พะ-ละ-พะ-เอิน ทะ-ระ-มาน-พระ-กา-ยา
กวีเล่นเสียง : พิ-พิ , บาก – บัด – เบียน , สะ-สะ , ถิด – เถียน , นม- เนิน , ไร้-ร้าง , พะ – พะ –พะ , ลา-ละ
ต่อไปลองอ่านต่อเนื่องทั้งตอน ฉากนี้บรรยายถึงนางมัทรี ออกเดินตามหากัณหา-ชาลีเนื่องจากพระเวสสันดรไม่ยอมปริปากพูดบอกความจริงว่า ทำทานยกให้พราหมณ์ชูชกไปแล้ว นางมัทรีเดินหาทั้งคืนไม่พบ นางกลับมาสลบไสลที่กุฏิ
๐ สุดสิ้นอัสสา สปสาศชายา ทอด องคเอนเอียง
วิสัญญีภาพ ท่าวทบสลบเพียง
พสุนธราเคียง ต่อเบื้องบาทบงสุ์ ๐
พระเวสสันดรเข้าใจว่านางมัทรีสิ้นพระชนม์ จึงโอดครวญขึ้น กวีใช้ “วสันตดิลกฉันท์ ๑๔” บรรยาย ความตอนหนึ่งว่า (โปรดสังเกต การเล่นเสียงและการใช้ศัพท์ง่าย ๆ )
๐ บัดนี้พิบากพิบัติเบียน สถิตยเสถียรพนมเนิน
ไร้ร้างพลาพลพเอิญ ทรมานพระกายา
เจ้าจงจำนงคจิตรฝาก พระศพไว้แก่ภรรดา
เรียมไซ้ก็ทนทุกขอนา- ถจะทำไฉนนาง
ฤาเล่าจะเผาพระนุชไท้ จะฝังไว้ก็ใช่ทาง
ใช่ที่ก็ทรงวิตกพลาง ดำริหราชฤาวาย
แต่ตั้งจะนั่งทุกขทุขา ดุจเฝ้าพระศพสาย
สมรกว่าจะโทรมศริรกาย อนิจาพิบากบอง
โอ้เจ้าก็มีคุณจะหา พธูใดเสมอสอง
สัจสวามิภักดิจิตรปอง บำเรอรักษโดยหวัง
วงศาจะปลอบก็ บ มิยล ก็มิยินจะอยู่วัง
ผู้เสียสละสมบัติทัง ขัติยา บ อาไลย
ด่วนโดย บ คิดพิชิตท้าว ทรมานดำเนิรไพร
เอาเพศเป็นดาบสินิใจ ปฏิบัติบำรุงเรา
โอ้เจ้ามาถึงมรณใน บริเวณศิขรเขา
ป่าชัฏสงัดอรจะเอา เปนป่าช้าพิศาลสถาน ฯ
ด้วยบทเรียนที่ข้าพเจ้าหัดแต่งร้อยกรองมาตั้งแต่อายุสิบสาม อ่านวรรณคดีร้อยกรองมาพอสมควร เขียนกวีและแปลกวีจีนขายมาหลายเล่ม ข้าพเจ้าขอใช้กวิตานุมัติ คิดว่า สองชิ้นนี้เป็นบทประพันธ์โดยกวีคนเดียวกัน..........
ฉันท์บทหลังนั้น อยู่ในเรื่อง “มัทรีคำฉันท์” ซึ่งระบุไม่ได้ว่า กวีคนใดรจนาไว้
แต่.... คำฉันท์มหาชาติชุดนี้ มีพิมพ์เป็นหลักฐานไว้สามกัณฑ์ ได้แก่ กุมารคำฉันท์ , มัทรีคำฉันท์ และ สักกบรรพคำฉันท์
ทั้งสามเล่มนี้ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านารีรัตนา โปรดให้พิมพ์แจก เรียงลำดับดังนี้ “กุมารคำฉันท์” ปี ๒๔๖๖ , “มัทรีคำฉันท์” ปี ๒๔๖๗ , “สักกบรรพคำฉันท์” ปี ๒๔๖๘
“กุมารคำฉันท์” พิมพ์ครั้งที่สองโดยกรมศิลปากร ปี ๒๕๓๙ แต่ “มัทรีคำฉันท์” กับ “สักกบรรพคำฉันท์” ข้าพเจ้ายังไม่เห็นฉบับพิมพ์ครั้งที่สอง ต้นฉบับ “มัทรีคำฉันท์”และ “สักกบรรพคำฉันท์” ที่นำมาเป็นข้อมูลเขียนเรื่องนี้ เป็นหนังสือที่ปู่ของข้าพเจ้า (ขุนนาถจำนง)เก็บสะสมไว้
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพฯ นิพนธ์คำนำหนังสือ “มัทรีคำฉันท์” (พ.ศ ๒๔๖๗) ไว้ดังนี้
“คำฉันท์มหาชาติ เข้าใจว่าเห็นจะมีทั้ง ๑๓ กัณฑ์ แต่ที่ในหอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนครรวบรวมได้ไว้ยังไม่ครบ สังเกตดูฉบับที่ได้ไว้ สำนวนแต่งดูเหมือนจะแต่งในรัชกาลที่ ๒ ละรัชกาลที่ ๓ กรุงรัตนโกสินทร์นี้ เป็นสำนวนที่แต่งดีทุกกัณฑ์ แต่หาทราบชื่อผู้แต่งได้หมดไม่ ที่ทราบได้บางกัณฑ์เป็นสำนวนเจ้านายผู้หญิงทรงพระนิพนธ์ก็มี ดังเช่นคำฉันท์กัณฑ์กุมาร ซึ่งพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านารีรัตนา ทรงพิมพ์ประทานตอบแทนผู้ถวายรดน้ำสงกรานต์เมื่อ พ.ศ ๒๔๖๖ ปรากฏว่า พระเจ้าบรมวงศ์เธอชั้น ๑ พระองค์เจ้าหญิงอุบล กับพระองค์เจ้าหญิงมณฑาช่วยกันทรงแต่ง
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านารีรัตนา มีพระประสงค์จะทรงพิมพ์หนังสือประทานตอบแทนผู้ถวายรดน้ำสงกรานต์ใน พ.ศ ๒๔๖๗ จึงได้จัดเรื่องมัทรีคำฉันท์พิมพ์ถวายในสมุดเล่มนี้ ต่อจากที่ไดประทานเมื่อปีกลาย”
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าหญิงอุบล (สิ้นพระชนม์ในสมัยรัชกาลที่ ๓)และพระองค์เจ้าหญิงมณฑา (สิ้นพระชนม์ในสมัยรัชกาลที่ ๔) ทรงเป็นครูสอนภาษาไทยให้กับเจ้านายฝ่ายใน (สตรี) ต่อเนื่องมาจนถึงรัชกาลที่สี่ พระองค์เจ้านารีรัตนาน่าจะเป็นศิษย์รุ่นปลาย ๆ ของพระองค์เจ้าหญิงมณฑา และเหตุทิ่ทรงเลือกพิมพ์คำฉันท์มหาชาติชุดนี้ ก็อาจจะเนื่องจากทั้งสามเรื่องเป็นพระนิพนธ์ของเจ้านายฝ่ายในที่เป็นพระอาจารย์ของพระองค์ก็เป็นได้
ประเด็นนี้ขอฝากให้ศึกษาค้นคว้าต่อไป.