ReadyPlanet.com
dot dot
ระดับอุดมศึกษาและประชาชนทั่วไป (โคลงสี่สุภาพ) : หัวข้อ ความว่างเปล่า

 

 

 

 

 ผลงานโคลงสี่สุภาพ ระดับอุดมศึกษาและประชาชนทั่วไป

 

หัวข้อ ความว่างเปล่าปักษ์หลัง ตุลาคม 2557 จำนวน 38 ชิ้น

 

 

 

1. ศราพก
ส่งทางอีเมล

ผูกสาม  ความว่าง (1. ศราพก)

นิยามความว่างด้วย                    วรธรรม
     ธ กล่าวสุญญตากำ-                            หนดต้อง
     สัมมาสมาธิฺนำ                  ในจิต
     ฌานหนึ่งสองสามคล้อง          สี่พ้องวิญญาณ

วิญญาณคือจิตนั้น                       คือมโน
     สุดแต่เรียกในโอ-                   กาสอ้าง
     วิชานาติฺก็โบ-                    ราณเรียก
     แปลว่าความรู้กว้าง                    แจ่มแจ้งอารมณ์

                อารมณ์คือรูปทั้ง                     เวทนา
     สัญญะ สังขารา                                 สี่ข้อง
     รวมจิตเรียก"ปัญจา-              ขันธ์"ที่   ยึดแล
     "สิ่งหนึ่ง"หลงขันธ์ต้อง            เรียกเจ้า"สัตตา"

                สัตตาปางอยากพ้น                  สงสาร
      ฟังสุตตะในวาร                    ชอบแล้ว
      ทำมนสิการ                         จิตมุ่ง   มรรคแฮ
      วิมุตติสุญญัตแก้ว                 เริ่มต้นโดยฌาน

                ฌานคือการเพ่งด้วย                 สติชอบ
      จนเกิดสมาธิรอบ                  สี่ขั้น
      วิตก วิจารกอปร                    ปีติ   สุขนา
      เอกัคคตาดั้น                         สลับรู้เบญจางค์

                ฌานหนึ่งว่างชั่วกลั้ว   ในใจ
      ความคิดอกุศลไป                  หมดห้วน
      กาม พยาบาทละใน               การเพ่ง
      ความคิดเบียดเบียนด้วน         ตริล้วนมวลธรรม

                ฌานสองว่างตรึกทั้ง    วิตก
      และวิจารก็ยก                       ออกได้
      เหลือปีติ สุขปรก                   ในจิต
      เอกัคคตาให้                         สลับรู้ไตรยางค์

               ฌานสามว่างจิตพ้น      ปีติ
      เหลือสุขในสมาธิ                  แวดล้อม
      เป็นสุขเสพมากมิ                  ควรหวั่น-   เกรงนา  
      เอกัคคตาน้อม                       สลับรู้ทวิยางค์

               ฌานสี่ว่างสุขรู้             วิเวก
      ทรงอุเบกขาเอก-                   อัคคต์เบ้า
      ไม่สุขไม่ทุกข์เฉก                 อุเปก-   ขาแล
      จิตเกาะรูปปราณเข้า              ออกนี้อารมณ์

                     ในฌานทั้งสี่นั้น     ตามดู
      ขันธ์สี่และจิตตู                     เกิดม้วย
      เกิดดับเกิดดับพรู                   จนเบื่อ   คลายแฮ
      ความว่างจักโพลงด้วย           สัจจ์ข้ออนัตตา.

………………………. (1. ศราพก)…………………

2. นิวัฒน์ ส่งครั้งแรกมีแก้ไข
ส่งทางอีเมล

ความว่างเปล่า (2. นิวัฒน์ ส่งครั้งแรกมีแก้ไข)

จากจิตใจลึกล้ำ               กำหนด
มิแบ่งแยกเกณฑ์กฎ                     บอกได้
แม้นบังคับเพิ่มลด                       แสนยาก  เย็นนา
เหนือควบคุมจองไว้                    มุ่งให้ใจจง

            ลุ่มหลงกิเลสร้าย             มัวเมา
ครุ่นคิดประโยชน์เอา                   แนบข้าง
มักมากยากบรรเทา                     รู้สึก ตัวเฮย
ทุกสิ่งย่อมรู้ร้าง                           สุดสิ้นตามกาล

            จุนเจือจานแบ่งบ้าง         ชั้นชน
เผื่อแผ่ผู้ขัดสน                            ทั่วแคว้น
คืนกลับสู่ดาลดล                         เสมอภาค  สมดุลแล
มั่งคั่งหรือแร้นแค้น                      แต่ล้วนลับลา

            หมอกมายามากล้น         เล่ห์ลวง
เหตุเรื่องร้ายทั้งปวง                     รับรู้
กลิ้งกลอกกลับกมลกลวง              ใช่เลิศ  ล้ำแฮ
ต้องแตกดับทุกผู้                          ไม่เว้นสักราย

            ห่างหดหายหมดเพี้ยง      จักรวาล
อำนาจมิทนทาน                         เที่ยงแท้
ดุจไม้ดอกเบ่งบาน                      โรยร่วง  ลงนา
จุดจบมอดไหม้แม้                      เก่งกล้าเหนือใคร

            วิสัยสรรพสัตว์นั้น           เกิดดับ
ดีชั่วนี้ควรนับ                             อยู่ยั้ง
ย่อมสถิตตราบกัป                       กัลป์คู่  โลกเฮย
มิอาจฝืนเหนี่ยวรั้ง                       ผ่านพ้นวางวาย

 

………………………. (2. นิวัฒน์ ส่งครั้งแรกมีแก้ไข)…………

 

3. นิวัฒน์ แก้ไขครั้งที่ 1
ส่งทางอีเมล (ไม่แจ้งตำแหน่งที่แก้ไข เพียงแค่ส่งใหม่แยกสำนวนเป็น 2 อีเมล์)

ความว่างเปล่า (3. นิวัฒน์ แก้ไขครั้งที่ 1)

จากจิตใจลึกล้ำ               กำหนด
มิแบ่งแยกเกณฑ์กฎ                     บอกได้
แม้นบังคับเพิ่มลด                       แสนยาก  เย็นนา
เหนือควบคุมจองไว้                    มุ่งให้ใจจง

            ลุ่มหลงกิเลสร้าย             มัวเมา
ครุ่นคิดประโยชน์เอา                   แนบข้าง
มักมากยากบรรเทา                     รู้สึก ตัวเฮย
ทุกสิ่งย่อมรู้ร้าง                           สุดสิ้นตามกาล

            จุนเจือจานแบ่งบ้าง         ชั้นชน
เผื่อแผ่ผู้ขัดสน                            ทั่วแคว้น
คืนกลับสู่ดาลดล                         เสมอภาค  สมดุลแล
มั่งคั่งหรือแร้นแค้น                      แต่ล้วนลับลา

            หมอกมายามากล้น         เล่ห์ลวง
เหตุเรื่องร้ายทั้งปวง                     รับรู้
กลิ้งกลอกกลับกมลกลวง              ใช่เลิศ  ล้ำแฮ
ต้องแตกดับทุกผู้                          ไม่เว้นสักราย

            ห่างหดหายหมดเพี้ยง      จักรวาล
อำนาจมิทนทาน                         เที่ยงแท้
ดุจไม้ดอกเบ่งบาน                      โรยร่วง  ลงนา
จุดจบมอดไหม้แม้                      เก่งกล้าเหนือใคร

            วิสัยสรรพสัตว์นั้น           เกิดดับ
ดีชั่วนี้ควรนับ                             อยู่ยั้ง
ย่อมสถิตตราบกัป                       กัลป์คู่  โลกเฮย
มิอาจฝืนเหนี่ยวรั้ง                       ผ่านพ้นวางวาย

………………………. (3. นิวัฒน์ แก้ไขครั้งที่ 1)……………

4. ปรุงคำ สำราญลิขิต
ส่งทางอีเมล

สุดท้าย...ว่างเปล่า (4. ปรุงคำ สำราญลิขิต)

ณ.
๑ เอกภพภพใหญ่กว้าง                 ไพศาล
กว้างกว่ากว่าประมาณ                กล่าวชี้
ขอบเขตเขตสัณฐาน                    ปรากฏ มากมี
มวลหมู่หมู่ดาวลี้ -                      ลับพ้นจินตนา ๚ะ

๒ ดาราดารดาษฟ้า                      มหาศาล
โลกหนึ่งงามตระการ                   เด่นหล้า
เพียงผงธุลีสาร                            หากเทียบ
เปรียบมนุษย์บังอาจท้า                ว่าข้ากว่าใคร ๚ะ

๓ ไฉนเลยเอ่ยโอ่อ้าง                   วางตน เขื่องโต
ใหญ่ยิ่งเหนืออื่นบน                     โลกนี้
สรรพสิ่งทุกแห่งหน                     ต้อยต่ำ
เหยียบย่ำกำหนดชี้                      ช่างร้ายเหลือทน ๚ะ

๔ ลาภผลกล่นเกลื่อนฟ้า               ก่ายกอง
สินทรัพย์นับเนืองนอง                 แน่นั้น
ประมาทเย่อหยิ่งผยอง                 พังยับ
ฤจักทนอดกลั้น                           กริ่งกล้ากลับกลาย ๚ะ

๕ ได้ยศฐาค่าชั้น                         คนเกรง ขามแฮ
กร้าวกร่างปานนักเลง                  บ่ ใกล้
หลงยศกดข่มเหง                         หาญหัก
เสื่อมยศหมดศักดิ์ไซร้                  มิตรไร้มาแล ๚ะ

๖ แซ่ซ้องย่องยกย้อน                  เยินยอ
หลอกล่อต่อหน้าขอ                     ค่าใช้
หลังลับกลับจ้องจ้อ                      วิพากษ์ วิจารณ์
หาจิตจริงใจไซร้                                     ล่วงได้ไป่ทุกข์ ๚ะ

๗ สุขทุกข์คลุกคละเคล้า               คลุมเคลือ
บ้างสุขจนเหลือเฟือ                     เฟื่องฟุ้ง
บ้างทุกข์สุดอนาถเหลือ                เหลียวหลบ เลี่ยงแล
พานพบครบเครื่องคลุ้ง                 ค่าแท้โลกธรรม ๚ะ


๘ ความทุกข์สุขห่อนตั้ง               อยู่นาน เนาแฮ
เกิดอยู่เพียงชั่วกาล                      จ่งรู้
เพียรเพ่งอุเบกขาน                       กำกับ
มีสติสำนึกสู้                               อยู่ด้วยเข้าใจ ๚ะ

๙ ใดใดในโลกล้วน                     อนิจจัง
สรรพสิ่งหาจีรัง                           อยู่ใต้
กฏไตรลักษณ์ระวัง                     กำหนด
ทั้งสุขล้นทุกข์ร้าย                       สุดท้ายว่างเปล่า๚ะ

๑๐ คนเราเพียงเท่านี้                    แท้นา เพื่อนเฮย
แปลงเปลี่ยนตามเวลา                  ห่อนยั้ง
เกิดแก่เจ็บตายหนา                      นานนับ กัปกัลป์
ดีชั่วหวังใดตั้ง                             แต่งสร้างเอาเทอญ ๚ะ๛

………………………. (4. ปรุงคำ สำราญลิขิต) ………………

5. พุ่มพฤกษ์
ส่งทางอีเมล

ความว่างเปล่า (5. พุ่มพฤกษ์)

คืออำนาจซ่อนเร้น           รูปรอย
คือสิ่งสูงสุดสอย                         แต่ใกล้
คือคุณยิ่งเพชรพลอย                    พราวเพริศ
คือว่างเปล่าเปรียบได้                  เด่นแท้นามธรรม

            ดำกลดุจแก้วซึ่ง              เจียระไน
กรอหยาดเล่นแสงไฟ                   ฟ่องเนื้อ
หากเพียงฝุ่นเกาะใส                    สีเก็จ

หมดซึ่งกิตติศัพท์เอื้อ                    บอกอ้างฝีมือ

            ถือเป็นอุปโลกน์ตั้ง          โลกตน
ยิ่งมากยิ่งมีคน                            มุ่งค้อม
มัวเมาสรรพสิ่งจน                      เสียจริต
ถูกกิเลสรุมล้อม                          รอบถ้วนวิถี

            มีทรัพย์คือสิ่งร้อน           ลนมือ
มีศัตรูมากคือ                              ค่อห้าม
มีมิตรมากปรนปรือ                     ใช่ปลอด  ภัยแฮ
สมมุติหมายจิตคร้าม                   จักแคล้วกังวล

            เหตุผลอมตะตั้ง               สุญญตา
เกิด-อยู่-ดับลงลา                         ล่วงรู้
ใครอาจหยุดสัญญา                     ยอมแผก
หนีสิ่งความจริงสู้                        เสกได้ฤๅไฉน

            วางใจลงแทบเบื้อง          บาทเรา
ให้ต่ำสุดเกินเอา                          ออกใช้
ไม่มองไม่หมายเมา                    มัวหม่น
คิดทบทวนไกลใกล้                     ก่อนแจ้งจรรยา

            บรรดาวัตถุทั้ง                 ทิพย์มวล
อย่าคิดเพียงจิตชวน                     ชื่นชู้
หัวโขนถอดวางตรวน                  ตามบท
ย่อมหยุดบ่วงผูกผู้                       ผิดพลั้งทางเจริญ

            ดำเนินชีวิตพร้อม            ภิญโญ
ดุจเมล็ดพืชเติบโต                       ผุดต้น   
อย่าหลงหยิ่งเดโช                        โดยชั่ว   ครู่นอ
สมบัติผลัดชมพ้น                        พรากแล้วอย่าหา

            อุปมาอากาศล้อม            รอบกาย
เกินจับนับเรียงราย                      ละเอียดพร้อม    
สำคัญต่อเมื่อหาย                        ใจสูด
ความว่างจึ่งแน่วน้อม                  แนบขู้โดยคุณ

………………………. (5. พุ่มพฤกษ์) …………………

6. นิวัฒน์ ส่งครั้งแรก มีแก้ไข

ส่งทางอีเมล

เหลือเพียงความว่างเปล่า (6. นิวัฒน์ ส่งครั้งแรก มีแก้ไข)

แม้มุ่งหมายยุดแย่งยื้อ                  ครอบครอง
หวังดั่งใจคิดปอง                                     มั่นไว้
เพื่อเป็นหนึ่งมิรอง                                   ผู้อื่น  ใดนา
เกินกอบเก็บกักได้                                   สุดสิ้นตามกาล

            ในวันวานไม่ย้อน                       เวียนมา
ครวญคร่ำหวงโหยหา                              ค่ำเช้า
ต้องทนทุกข์ทั้งพา                                   หมองหม่น  ใจแล
ตั้งสติตัดโศกเศร้า                                    เร่งรู้อนิจจัง

            ยากเหนี่ยวรั้งแหล่งหล้า               ตามใจ
วัฏจักรดำเนินไป                                                เยี่ยงนั้น
ตามเกณฑ์กฎวิสัย                                   ธรรมชาติ  นี้เฮย
สุดฝ่าฝืนดันดั้น                                       หลุดพ้นสังสาร

            เท่าทันทานกิเลสร้าย                   มัวเมา
ชั่วโฉดรู้บรรเทา                                      ละบ้าง
ขจัดโลภบางเบา                                     ลดเลิก  เสียแฮ
ก่อนชีพลับลาร้าง                                    ท่องแท้สัจธรรม

            มุ่งนำเทียมเท่าให้                       สุขสงบ
ผันผ่านรอนรานรบ                                  รุกเร้า
พึงพานพบจุดจบ                                     ทุกสิ่ง  อย่างแล
เหลือแค่กองถ่านเถ้า                                มิเว้นสักราย

            บั้นปลายสรรพสิ่งต้อง                  สูญสลาย
สรรพสัตว์ย่อมวางวาย                            เช่นนี้
สะสมทรัพย์มากมาย                               ใช่ช่วย  ได้เอย
ไม่หลุดหลบหลีกลี้                                  ล่วงข้ามวังวน
………………………. (6. นิวัฒน์ ส่งครั้งแรก มีแก้ไข) ……………

7. นิวัฒน์ แก้ไขครั้งที่ 1
ส่งทางอีเมล (ไม่แจ้งตำแหน่งที่แก้ไข เพียงแค่ส่งใหม่แยกสำนวนเป็น 2 อีเมล์)

เหลือเพียงความว่างเปล่า (7. นิวัฒน์ แก้ไขครั้งที่ 1)

แม้มุ่งหมายยุดแย่งยื้อ                  ครอบครอง
หวังดั่งใจคิดปอง                                     มั่นไว้
เพื่อเป็นหนึ่งมิรอง                                   ผู้อื่น  ใดนา
เกินกอบเก็บกักได้                                   สุดสิ้นตามกาล

            ในวันวานไม่ย้อน                       เวียนมา
ครวญคร่ำหวงโหยหา                              ค่ำเช้า
ต้องทนทุกข์ทั้งพา                                   หมองหม่น  ใจแล
ตั้งสติตัดโศกเศร้า                                    เร่งรู้อนิจจัง

            ยากเหนี่ยวรั้งแหล่งหล้า               ตามใจ
วัฏจักรดำเนินไป                                                เยี่ยงนั้น
ตามเกณฑ์กฎวิสัย                                   ธรรมชาติ  นี้เฮย
สุดฝ่าฝืนดันดั้น                                       หลุดพ้นสังสาร

            เท่าทันทานกิเลสร้าย                   มัวเมา
ชั่วโฉดรู้บรรเทา                                      ละบ้าง
ขจัดโลภบางเบา                                     ลดเลิก  เสียแฮ
ก่อนชีพลับลาร้าง                                    ท่องแท้สัจธรรม

            มุ่งนำเทียมเท่าให้                       สุขสงบ
ผันผ่านรอนรานรบ                                  รุกเร้า
พึงพานพบจุดจบ                                     ทุกสิ่ง  อย่างแล
เหลือแค่กองถ่านเถ้า                                มิเว้นสักราย

            บั้นปลายสรรพสิ่งต้อง                  สูญสลาย
สรรพสัตว์ย่อมวางวาย                            เช่นนี้
สะสมทรัพย์มากมาย                               ใช่ช่วย  ได้เอย
ไม่หลุดหลบหลีกลี้                                  ล่วงข้ามวังวน
………………………. (7. นิวัฒน์ แก้ไขครั้งที่ 1) ………………

8. อนัตตา
ส่งทางอีเมล

ความ (หมด) ทุกข์(8. อนัตตา)

อันพิภพแผ่นฟ้า              เคียงกัน
ทุกสิ่งพบจบพลัน                        หวั่นแพ้
สนองไป่ครบครัน                       มิตื่น คืนแล
หาสิ่งใดมิแท้                              ไขว่คว้า ขวัญหาย

หมายสุขใดใฝ่แล้ว          หรรษา
จิตชื่นคืนมรรคา                          ผ่องแผ้ว
เคยไหวหวั่นตัณหา                     เพียรว่าง สว่างแล
กระจ่างวางดีแล้ว                        ว่างเว้น เวรกรรม

ฝึกธรรมจำใส่จิต             ตามกาล
ครวญใคร่พญามาร                      ย่อมห้าม
ดังแปรเปลี่ยนสงสาร                   พลบค่ำ เกิดแฮ
เวียนว่ายภายภพสาม                  เพลี่ยงพล้ำ มัวหมอง

แสงละอองผ่องใส           รัศมี
บางอย่างพรางแสงสี                   เร่งคว้า
สรรพสิ่งทรามดี                          ตามแต่ รู้เฮย
ยึดอยู่ดูคลับคลา                          เคลื่อนคล้อย คอยหาย

วิญาณวายตื่นแฮ                         สดใส
มัวมั่งมีดีใจ                                กู่ร้อง
เสียงจับเจ่าพิไร                          ลอยเลื่อน เลือนแล
แปรเปลี่ยนจิตหมดหมอง             ผ่องแล้ว แพรวพรรณ

มัวหลงขันธ์นั่นหนา        เป็นเหตุ
เลิกก่อทอกิเลส                           ทั่วหล้า
ละงามพร่ามวิเศษ                       หยุดท่อง ไปแล
สุขนิ่งสงบคอย                           แจ่มแจ้ง คราเดิม

………………………. (8. อนัตตา) …………………

9. ฑีดา  ญาจันทร์
ส่งทางอีเมล

กลับนิพพาน (9. ฑีดา  ญาจันทร์)

๏ ฤดีเดิมผ่องแผ้ว                        ประภัสสร
ปรกติเย็นยิ่งตอน                         แต่ต้น
ไม่มีกิเลสหลอน                         แลสงบ
ความว่างเปล่าท่วมท้น               สถิตท้องนฤพาน

๏ จิตวิญญาณอยู่ยั้ง                     ยืนยง
แต่จิตสังขารคง                           แค่ม้วย
รู้ตื่นเบิกบานทรง                         ซึ่งสติ
บริสุทธิ์ดั้งเดิมด้วย                      ดั่งนี้ดีอนันต์

๏ อาคันตุกะแย้ม                        กรายเยือน
คือกิเลสบิดเบือน                         บอดใบ้
ตัณหาบุกมาเฉือน                       เชิงโฉด
อยากเด่นดังอยากได้                    อีกทั้งอยากมี

๏ อยากดีพ้นเพิ่มเป้า                    อยากเป็น
กิเลสเปลี่ยนจิตเย็น                      ยิ่งฮ้อน
แสวงหาสิ่งที่เห็น                        เหิมเห่อ
ดิ้นดีดปรนเปรอป้อน                    ไป่ยั้งสังขาร

๏ อันเหตุการณ์เกิดแล้ว                เพียงลม
พอกิเลสเชยชม                           ฉ่ำแล้ว
ตัณหาที่หมักหมม                       มอดดับ
ใจเกิดนิพพานแก้ว                      กลับพ้องภูมิเย็น

๏ เราก็เป็นเช่นนี้                         นรชน
เย็นกับร้อนปะปน                       ปลุกปล้ำ
ยามใดกิเลสตน                           โตใหญ่
ยิ่งอยากมากมายย้ำ                     ยิ่งร้อนรนกาม

๏ ยามใดเราเริ่มรู้                                    สึกตัว
กำหนดถ้วนถี่รัว                         ทั่วพร้อม
ร้อนลดแต่เย็นหัว                        ใจเพิ่ม
คราสติคุมจิตน้อม                       สนิทเนื้อนิพพาน

๏ เย็นนานขึ้นขับร้อน                  รางเลือน
คงสภาพเดิมเตือน                       ต่อสู้
รักษาจิตลืมเลือน                         หลงโลภ
ความว่างเปล่าสติรู้                     สุขร้อยเรียงนิรันดร์

………………………. (9. ฑีดา  ญาจันทร์) ……………

10. ธารตะวัน
ส่งทางเว็บบอร์ด

ว่าง ... เปล่า (10. ธารตะวัน)

สภาวะว่างเว้น               สสาร
เหมือนดั่งดวงวิญญาณ                 ที่ไร้
อินทรีย์เสื่อมสังขาร                     ผุเน่า เหม็นเฮย
เหลือว่างเพียงนามไว้                  ร่างนั้นธุลีดิน

            สินทรัพย์กองท่วมท้น      เหนือหัว
ตายไม่มีติดตัว                            มอดไหม้
กลายเป็นฝุ่นสลัว                        กองถ่าน เถ้าเอย
เหลือว่างมรดกไว้                       พี่น้องสืบสกุล

            สุญตาความว่างนี้            สูญไป
คือไม่มีอะไร                              เที่ยงแท้
ตัวเราใช่ของใคร                         กายแค่ รูปแล
หวังพึ่งหนทางแก้                        หมั่นเข้าบำเพ็ญ

            วาง ทุกข์เข็ญนั่นไว้         วางลง
วาง ปล่อยกิเลสปลง                    อย่าใกล้
วาง ความไม่ยืนยง                     โลภอย่า มีเอย
วาง มั่นในจิตให้                                     ว่างเว้นเวทนา

            ปลง กายาอย่าได้            กังวล
ปลง เพื่อฝึกตัวตน                       อดกลั้น
ปลง จิตอย่ายินยล                       ฟันผ่า ใจแฮ
ปลง ปล่อยความอยากนั้น            เพื่อพ้นวิญญาณ

            สู่ นิพพานมุ่งสร้าง          ความดี
ความ ไม่มีราคี                           หลีกพ้น
ว่าง จากสิ่งโลกีย์                        จงอย่า ยึดติด
เปล่า เปลี่ยวหนทางค้น                ไม่พ้นความตาย

………………………. (10. ธารตะวัน) ……………

11. บุญวิว
ส่งทางอีเมล

บทกวีที่ว่างเปล่า : งานเขียนชั่วคราวที่ไร้ความหมาย (11. บุญวิว)

๏ ลำนำคำลึกล้ำ               จรรโลง
พันรัดสัมผัสโยง                         สะพรั่งร้อย
เขียนวางร่างเค้าโครง                   สูงส่ง สวรรค์เฮย
หากยากจักเคลื่อนคล้อย                  โยกย้ายจักรวาล ๚

๏ กู่เสียงเพราะเสนาะพริ้ง            กังวาน
ปานทิพย์คีตกาล                         แก่หล้า
ขับกล่อมชั่วอนันตกาล                 มิหยุด
ยังมิอาจพัดหญ้า                         สักเส้นเอนไหว ๚

๏ เดียวดายในป่าช้า                    โลกา
หมุนเปลี่ยนเวียนจักรา                 ไป่สิ้น
กานท์กวีอยู่นานมา                     ในบ่อ ลึกเฮย
หลงชื่นชมลมลิ้น                         กลิ่นฟุ้งปรุงฝัน ๚

๏ รำพึงพร่ำร่ำเพ้อ                                   พรรณนา มนุษย์เอย
หมายสิ่งซึ่งมายา                        ฉาบได้
ธรรมนำส่องมรรคา                     แต่หลับ ตาแล
พลันปล่อยทางสว่างไว้                รกร้างวังเวง ๚

๏ ฉะนี้จึงเกิดขึ้น                                     คำถาม
กองเกลื่อนราคาสาม                    เล่มร้อย
ที่เราต่างชมงาม                          ดีเลิศ ประเสริฐฤๅ
งานประพันธ์ชดช้อย                    ค่าด้อยธุลีผง ๚

๏ งานครูเขียนขีดไว้                    ในสมุด
บ่แทรกทรวงมนุษย์                     ประดับแก้ว
ชั่วดีโลกสมมุติ                                       เป็นอยู่
หากปล่อยเช่นนี้แล้ว                                จักสิ้นแผ่นดินกวี ๚

๏ เสียงบทกวีร่ำไห้                      เดียวดาย
จมจ่อมสู่ความตาย                                 ไม่ช้า
ช่วยฉันเถิดโอ้สหาย                    โปรดช่วย ด้วยเทอญ
สิ้นสุดสำเนียงล้า                        ซบหน้าลาชน ๚ะ๛

………………………. (11. บุญวิว) …………………

12. นนท์ณภัทท์-ณัฐณพิชญ์
ส่งทางอีเมล

ปล่อยว่าง วางเปล่า(12. นนท์ณภัทท์-ณัฐณพิชญ์)

๑ ๏ ปฐมกัลละเริ่มล้วน                จากสูญญ์
ปฏิสนธิ์เหตุมูล                           ก่อเกื้อ
วิบากก่อนบรรพ์บูรณ์                   วัฏฏ์ว่าย
บุญเก่ากุศลเอื้อ                           แต่ล้วน กัมมัง ๚

๒ ๏ ยังเยาว์ยังเปี่ยมล้น               เป็นสุข
จิตปล่อยปลอดทนทุกข์                ทั่วถ้วน
กินนอนอยู่หลับปลุก                    ลุกตื่น ขึ้นเฮย
วันค่่าโตเติบล้วน                         เริ่มแล้ว โกลาหล ๚

๓ ๏ อัตตาตนต่อตั้ง                     เติมยศ
ศรีศักดิ์ทรัพย์รูปรส                      ยึดไว้
มักมากไม่มีหมด                        จิตลุ่ม หลงเฮย
กิเลสกามคุณให้                          รุ่มร้อน โหยหา ๚

๔ ๏ ธรรมดาโลกิยะนั้น               พันผูก
ดุจหยั่งรากฝังปลูก                       ลึกล้่า
สินทรัพย์นับเมียลูก                     คอผูก บ่วงเฮย
พันมัดกระหวัดซ้่า                       ยิ่งรั้ง ยิ่งร้าย ๚

๕ ๏ ห่อนหายให้ห่วงห้วง            แหนหวง
ผูกจิตจนหลงลวง                        กร่อนเกล้า
ทองเทียมเท่าเขาหลวง                 ฤาอยู่ ได้เฮย
ภัยโรคพยาธิเร้า                          เจ็บเรื้อ มรณา ๚

๖ ๏ ธาราเขาหลั่งให้                    ลงมือ
หยดหนึ่งมิอาจถือ                       อยู่ได้
เคหาสน์ที่อยู่คือ                          โลงแคบ
เงินเศษสังเวชไว้                                     ใส่ป้อนปากผี ๚

๗ ๏ อัคคีโลมลูบไล้                    กลืนกลบ
เหรียญร่วงโลงแหลกลบ               จบไหม้
สังขารแค่ควันตระหลบ                ไฟมอด
กองกอบธุลีไร้                            ค่าครั้ง เคยเป็น ๚

๘ ๏ เห็นแรกมาก็แต่ล้วน                         ว่างเปล่า
ตะเกียกตะกายเขลา                     อวดอ้าง
ยึดสิ่งซึ่งสมมุติเอา                      อุปโลกน์
วางปล่อยวางเปล่าบ้าง                ปล่อยหว้าง วางเปล่า ๚ะ๛

………………………. (12. นนท์ณภัทท์-ณัฐณพิชญ์) ………………

13. เพชร ปราการ.
ส่งทางไปรษณีย์

สุญตารมย์ (13. เพชร ปราการ.)

คือสภาวจิตพ้น               กิเลสผลาญ
โดยขัดเกลาสันดาน                     ดับเชื้อ
ปีติและเบิกบาน                          ปานดอก-  บัวแล
วิมุติสุขโอบเอื้อ                          เอิบด้วยวิชชา

            เกิดปัญญาแจ่มแจ้ง          เรืองไสว
เป็นเพชรผ่านเจียระไน                ส่องน้ำ
หลับตาแต่เปิดใจ                         ขับมืด-  บอดนา
มีสติมิเพลี่ยงพล้ำ                        พ่ายแพ้เพลิงนิวรณ์

            ผ่อนลมปราณออกเข้า      เบาสบาย
นาสิกกำหนดหมาย                     รับรู้
สำรวมนิ่งใจกาย                         แน่วแน่
อานุภาพเพียงผู้                           ล่มฟ้าลอยสวรรค์

            ไร้ขันธ์ห้าเหนี่ยวรั้ง         มรรคผล
มิยึดติดตัวตน                             บ่วงร้าย
เห็นภัยแห่งการวน                      เวียนว่าย
เกิด-ดับ ก็คลับคล้าย                    ก่อเกื้อกามคุณ

            สุญตาจึงเลิศล้ำ               อมตะ
ตามหลักธรรมพุทธะ                   บ่งชี้
หนทางที่ชำนะ                           พิชิตหมู่-  มารเฮย
โลภ, โกรธ, หลง หลีกลี้               ผ่องเพี้ยงเดือนเพ็ญ

            เป็นความว่างที่แปล้        เปี่ยมบุญ
เป้นทิพทองกองทุน                     ท่วมท้น
เหนือกาลนอกวัฏฏ์หมุน               ไร้ขอบ-  เขตนอ
เหนือโลกแรงหลุดพ้น                  สุดสิ้นสงสาร ฯ
………………………. (13. เพชร ปราการ.) ……………

14. ฉัตรสิรี
ส่งทางอีเมล

ความว่างเปล่า (14. ฉัตรสิรี)

ว่าง  วางวายวุ่นเว้น                    บิดา
เปล่า  แม่มรณา                                      มอดม้วย
ใน  เรือนย่อมเยียวยา                              ยากยิ่ง
บ้าน  บ่เป็นบ้านด้วย                               ดับไร้ผู้นำ
            หมู่  ใดกรรมก่อแล้ว                    ขาดหัว-  หน้าเฮย
บ้าน  แห่งความหม่นมัว                          มืดแท้
ว่าง  วายพู่ทำตัว                                     สุจริต
เปล่า  เจริญสุขแม้                                   หนึ่งน้อยฤามี
            ว่าง  ศักดิ์ศรีแห่งบ้าน                   เมืองเจริญ
เปล่า  สุขสุชนเมิน                                  หม่นไหม้
ใน  โลกแหล่งทางเดิน                              ตันตีบ
เมือง  อยู่หลังเขาไร้                                 ปราชญ์ผู้นำทาง
            เมือง  หม่นลางบอกแท้                ทุกข์ทน
ที่  เก่าถอยหลังดล                                   ดับด้าว
ว่าง  ปราชญ์ว่างวายคน                           คิดซื่อ
เปล่า  เปลี่ยวเมืองมิก้าว                           รักไร้สมัครสมาน
            ว่าง  วิเวกปานล่มร้าง                  พารา  ไทยฤา
เปล่า  ปราชญ์เปี่ยมกังขา                          ยิ่งแล้ว
ใน  เมืองอัศวินม้า -                                 เขียวช่วย  อยู่แฮ
ชาติ  สิทธิ์เสรีแผ้ว                                  อย่าช้าโปรดคืน

            เหนือ  ขมขื่นโศกเศร้า                  สู่สันติ์
ความ  สุขราษฎร์พระมิ่งขวัญ                   ปกเกล้า
ว่าง  รัฐฯแต่ราชัน                                   ทรงอยู่
สว่าง  ทุกข์ทุกค่ำเช้า                                ธ สร้างเสกหวัง

………………………. (14. ฉัตรสิรี) …………………

15. ฑีดา  ญาจันทร์
ส่งทางอีเมล

เพียงความว่างเปล่า (15. ฑีดา  ญาจันทร์)

๏ ยอมเสียสุขภาพล้วน                แลกสตางค์
พอเกิดโรคร้องคราง                     จ่ายเบี้ย
เพียงความว่างเปล่าลาง-                          เลือนอยู่
ท้ายสุดสูญเปล่าเปลี้ย                  ปล่อยร้างโรยระทม

๏ งมงายตายเปล่าปล้ำ                 แปลกจริง
ยึดมั่นเหมือนกับลิง                     หลอกเจ้า
ร้อนเหลือเมื่อมือชิง                                 ฉวยฉุด
กำถั่วในไหเหล้า                         หดแล้วลืมคลาย

๏ ชนม์วายกายเปื่อยแล้ว             หลายคน
มัวแต่แบกไหจน                         เจ็บบ้า
ชั่วชีวิตวิ่งวน                              วายวุ่น
มือที่กำถั่วล้า                              ทุกข์ล้นทนไฉน

๏ ปลงใจคลายปล่อยนิ้ว                           ในพะเนียง
จิตลื่นหลุดเหลือเพียง                   ผ่องแผ้ว
ไม่ยึดรูปกลิ่นเสียง                                  สัมผัส
แสงพระธรรมสว่างแจ้ว               ดั่งแก้วมณีสวรรค์

๏ เสกสรรทางว่างเว้น                 วัตถุชน
ความว่างจากตัวตน                     แต่งแต้ม
ปล่อยวางว่างกมล                       ปรมัตถ์
สัจธรรมเลิศแฉล้ม                      ฉลาดแล้วใจเฉลย

๏ ความว่างเอยเอ่ยอ้าง                อรรถกถา
ว่างจากกิเลสหนา                       หน่ายร้อน
สุดท้ายนิพพานพา                       สารัต- ถะแฮ
โลกุตระต้อน-                             รับสิ้นสุญตา

………………………. (15. ฑีดา  ญาจันทร์) ……………


16. ใบพ้อ
ส่งทางอีเมล

อตัมมยตา (16. ใบพ้อ)

คนเรายึดหลักตั้ง             ที่กู
เรื่องอื่นก็ปิดหู                             สนิทไว้
ปิดตาไม่มองดู                            รายรอบ
คิดครุ่นเอาแต่ได้                         บ่เอื้อใครใคร

อะไรก็เกี่ยวด้วย             ของตัว
ครวญใคร่วนในหัว                      ห่อนเร้น      
มักหมกมุ่นเมามัว                       ยึดมั่น ตนแล
เห็นแก่ตัวไม่เว้น                         หยุดยั้งคิดการ

จักรพาลเดิมก่อนไซร้       ธุลี
หาไป่ดวงสุรีย์                            ส่องหล้า
สาดแสงเด่นรัศมี                         เจิดจรัส
ทอสว่างรังสีจ้า                           แจ่มแจ้งสดใส

ใดใดก็ต่างไร้                  ตัวตน
ผันเปลี่ยนเวียนวังวน                   ยากรั้ง
กงล้อปัจจัยผล                            หมุนเคลื่อน
เกิดดับมิหยุดยั้ง                          ดั่งนี้ความจริง

สรรพสิ่งกำหนดด้วย        อนิจจัง
เก่าแก่และผุพัง                           แน่แท้
มิหยัดอยู่จีรัง                              ยืนยั่ง
ไม่เที่ยงไตรลักษณ์แล้                  เพริศแพ้วนิรันดร์

สัพพัญญูตรัสไว้              วาจา
ทุกสิ่งในโลกา                            ทั่วถ้วน
อตัมมยตา*                                สูงสุด
พุทธพจน์จริงล้วน                       ชั่วฟ้าชั่วกัลป์

มีธรรม์คงมั่นไว้              คู่ใจ
สุญญตาภายใน                           เลิศแล้ว
คือว่างซึ่งสิ่งใด                           แม้แต่ ตัวนา
จิตผ่องประภัสร์แผ้ว                    พรั่งพร้อมสุขเย็น

*อตัมมยตา คือ สภาวะจิตระดับสูงสุด ไม่ยึดถือสิ่งทั้งปวง ไร้การปรุงแต่งใดใด

………………………. (16. ใบพ้อ) …………………………

 

 

17. ชาญสมร
ส่งทางอีเมล

กลับไปสู่ความว่างเปล่า (17. ชาญสมร)

รวมพลังหลั่งเลือดพร้อม............พลีอาตม์
หวังสิทธิ์เสรีราษฎร์ ........................กลั่นกล้า
มือเปล่าใช่เขลาขลาด ....................คิดขื่น  ขมแฮ
ยุดแย่งมาครองท้า ........................รบรื้อเผด็จการ

รานเหล็กตรวนโซ่ทิ้ง ................เทิดไท
คือประชาธิปไตย ..........................ต่อตั้ง
ชีพดับลับล่วงไป ...........................ปลอบก่น  กันนา
เพื่อเทิดเสรีทั้ง ..............................ฝากเชื้อวีรชน

คนเอยคนคลั่งแค้น ................สุดคะนึง
อำนาจบาดจิตจึง .........................ยุทธ์แย้ง
ฉุดกลับมาปรับตรึง ..................... ขึงมั่น
ขืนข่มเหมือนล้มแกล้ง ..................กล่าวอ้างอภิปราย

เฉกนิยายยืดเยื้อ ...................ยาวนาน
เคล้ารสเปรี้ยวเค็มหวาน ..............อย่างข้น
ต้องตามติดต่อกาล ....................ใกล้ชิด  แลนา
ทุกบทบอกรักล้น ........................เรียกร้องเสรี

วิถีทางทาบไว้ ......................โดยกรรม
ลิขิตขีดหนุนนำ .........................ห่อนช้า
วนเวียนเปลี่ยนกลับทำ ...............ซ้ำสุด  ฉงนเฮย
เสียงราษฎร์เคยคับหล้า ..............หลุบไร้โรยแรง

แสงทองเคยผ่องฟ้า ..............อำไพ
มวลราษฎร์เคยเกริกไกร .............ว่างเว้น
ว่างเว้นเพื่อก้าวไป ......................คงมั่น  นั้นฤา
อย่าปล่อยเสรีเร้น .......................ลับแล้วลับหาย

 

………………………. (17. ชาญสมร)………………

 


18. อิสินธร
ส่งทางอีเมล

ความว่างเปล่า (18. อิสินธร)

ธุลีรวมกลุ่มก้อน             ปฐมกาล
กำเนิดแรกจักรพาล                      หนึ่งน้อย
ดาวเคราะห์ฤกษ์วงษ์วาร              ปรากฏ เพิ่มนา
อวกาศว่างเปล่าพร้อย                  รัศม์เพี้ยงอัศจรรย์

            สุริยันแก่นฟ้า                 ตรึงดาว
โน้มถ่วงโคจรราว                      ปักไว้
จุลชีพอุบัติคราว                          แรกโลก เราแล
วิวัฒน์เผ่าพันธุ์ได้                        สืบเชื้อช่วงฉนำ

            จำเริญชนเผ่าผู้                อารยัน
มนุษย์ดึกดำบรรพ์                       เกิดแล้ว
อาศัยเถื่อนถ้ำขัณฑ์                      ครองชีพ
ประดิษฐ์วิทยาแผ้ว                      ขีดห้องผนังหิน

            ปฏิทินเคลื่อนคล้อย         เนานาน
สรรพวิทย์แตกฉาน                     โชติถ้วน
แมกไม้ผลิดอกบาน                     โรยหล่น ลงเฮย
คนเกิดแก่ตายล้วน                       ยากพ้นคืนธุลี

            โลกมีเกิดดับสิ้น              เฉกคน
พิภพจรดสายชล                         สุดฟ้า
ดาราจักรสากล                           แตกย่อย อณูแฮ
ชีพแผ่วโรยแรงล้า                       แหลกทึ้งเลือนลาง

            รายทางสู่เปล่าไร้            ค่อยแสดง
กำหนดมิเปลี่ยนแปลง                  โปรดรู้
โลกธาตุฉากจำแลง                     คราวดับ ลงเฮย
เราไป่ต่างสัตว์ผู้                          พ่ายแพ้สัจธรรม

 

………………………. (18. อิสินธร) ………………

 


19. สมบัติ
ส่งทางอีเมล

ความว่างเปล่า (19. สมบัติ)

....ว่างเปล่า สมองไร้ทิศ.............ทางไป
ว่างเปล่า จับใส่อะไร..................รับสิ้น
ว่างเปล่า หุ่นกลไก.....................กับระเบิด
ว่างเปล่า ไป่คิดดิ้น....................เด่นได้โดยตน

....ว่าง จนหลบหลักชี้................ชอบธรรม
ว่าง ปล่อย"เป็นตามกรรม"..........กล่าวอ้าง
ว่าง ปลุกเสกปั้นคำ..................."ข้าวิเศษ"
ว่าง จึ่งหมกมุ่นสร้าง..................สิ่งร้ายเล่ห์สยอง

....ว่าง ปองราคะโลภแล้............หลงตน
ว่าง ก่อกิเลสเปรอปรน...............ไป่ร้าง
ว่าง กลับปล่อย "เจ็บ จน"...........จมทุกข์
ว่าง หลุดโอกาสสร้าง................สุขหล้าโลกสวรรค์

....ว่าง นั้นใช่ไร้รัก....................ไร้ธรรม
ว่าง วุ่นช่วยผู้ระกำ.....................รอดพ้น
ว่าง เว้นโฉดโหดระยำ................ย้ำเกลียด
ว่าง แต่งเติม "รัก"ล้น.................ละสิ้นตัณหา

....ว่าง สุญญตา ธ ตรัสให้...........หันหา
เปล่า ปล่อย "กู" ตู่มา.................มัดไว้
ว่าง สนิท "จิตมายา"..................ยากเกาะ...เกี่ยวเฮย
เปล่า ยึดโยง "ตู" ไซร้................สันติได้สงบแล

....ว่างเปล่า แท้เที่ยงต้อง............ตัดตน
ว่างเปล่า รักผองชน...................ชีพให้
ว่างเปล่า ไป่"ยากจน".................จิตจรัส
ว่างเปล่า สลัดโลกย์ได้...............ดับด้วย"เตือนตน"

 

………………………. (19. สมบัติ) ………………

 


20. รัตนโกสินทร์ศก
ส่งทางเว็บบอร์ด

คลื่น - กู(20. รัตนโกสินทร์ศก)

ชเลสมุทรห้วง                หฤหรรษ์
ฟองแตกกระจายครัน                   ครั่นครื้น
ครืนครืนถั่งโถมอนันต์                  คะนองฝั่ง

วายวับทิ้งหาดตื้น                        กลับม้วนตัวเกลียว ฯ

            เทียวซับเทียวซัดซ้อน      ซบทราย
กระซิบเซาะระบาย                     บทซ้ำ
คำคำคร่ำครวญคาย                     เขียนขีด
คลื่นกลบกลืนเกลี่ยกล้ำ                ปาดแก้มทรายสลาย ฯ

            พระพายเพียงพัดพ้น        พรูพรม
เรื่อยเรื่อยลมลู่ลม                        หลากริ้ว
รุกข์เสียดกระดิกขรม                   เขย่า
เพียงชั่วพริบแผ่วพลิ้ว                  ผ่อนหนิ้งสงัดไพร ฯ

            เคลื่อนไหวไป่เคลื่อนย้าย             ขยับ ที่แล
มีไป่มีพูนนับ                                          หนักน้อย
พบเพียงเพื่อผ่านรับ                                 รู้สึก
กาลกลบเกลี่ยกลืนหย้อย                          ยากยั้งยืนโยง ฯ 

            โรงมโหรสพหล้า            ละคร
ยื้อแย่งตะแบงบอน                      เบียดบั้น
ใฝ่ พระ-นาง เอกอร                     โอ่อ่า     องค์เอย
ท่าม*กาก ริกริกกลั้น                    หลับหล้าเขษมสันต์ ฯ     

            สวรรค์นรกไหม้              หมกมาน          
อย่าอยู่อย่างอยากสาร                  ท่านถ้อย           
กูอัตตสังขาร                               ของกับ  กูฤๅ

จิตกาธานคล้อย                          คลื่นแท้สัจกถา ๚ะ๛

หมายเหตุ :        *กาก ตัวกาก ภาพกาก เป็นบุคคลที่ไม่ใช่ตัวเอกของเรื่องราวหรืออาจไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของเรื่องราวตอนหนึ่งตอนใดเลย มักเป็นบุคคลสามัญชาวบ้านธรรมดา ๆ กำลังแสดงท่าทางอากัปกิริยา หรือทำกิจกรรมบางอย่างอยู่

………………………. (20. รัตนโกสินทร์ศก) ……………

21. ทันย่า วิลล่า ส่งครั้งแรกมีแก้ไข
ส่งทางอีเมล

ไร้ร่องรอย (21. ทันย่า วิลล่า ส่งครั้งแรกมีแก้ไข)

๏ ดีร้ายรบเศิกซ้ำ                        สุดฉงน
แสนฉงายกลายกล                      วิกฤตแก้
ประโลมประเล่ห์เฉฉล                 ฉลักอยู่ คู่เฮย
คือผลัดชนะผลัดแพ้                     พ่ายเพี้ยงโลกธรรม

๏ กงกำเกวียนขับคล้อย                เคลื่อนหมุน
รางรุ่งคราอรุณ                            เร่งล้อ
รอยทางย่างบาปบุญ                    ระบุบ่ง กงแฮ
มีสุขมีทุกข์ท้อ                            หนักแท้เล่มเกวียน

๏ วนเวียนในเวิ้งวาบ                  วูบไหว
วรรคว่างระหว่างใจ                    จ่อมวุ้ง
เพียงพลาดอาจเผลอไผล              ผิดรูป นามแล
ติดกับดักจักสะดุ้ง                        สะเดาะได้ฤๅไฉน

๏ ในใจปรุงแต่งแต้ม                   โดยตน
กลายเหตุมาเกิดผล                      ผลิตสร้าง
เกิดดับกับกรรมกล                       กิจก่อ
จริงเท็จที่อิงอ้าง                          อาจแท้แลลวง

๏ จักรวาลกลวงเปล่าสิ้น              สะสาง
อวิชชาอำพราง                           ปิดพร้อม
โลกาหล่นตรงกลาง                     กำเนิด เนิ่นนา
เพียรฝ่าจากวงล้อม                      ว่างแล้วสาปสูญ

๏ จำรูญหรือเสื่อมไร้                   จำเริญ
กว้างแคบก็ขาดเกิน                     กว่ากว้าง
เสพสุขโศกสรรเสริญ                   ซ่องเสพย์
สำเร็จในรู้ร้าง                             โลกไร้ร่องรอย

………………………. (21. ทันย่า วิลล่า ส่งครั้งแรกมีแก้ไข) …………

22. ทันย่า วิลล่า แก้ไขครั้งที่ 1
ส่งทางอีเมล
ขอแก้ไขครั้งที่ ๑ : แก้คำผิดในบทที่ ๕
  จาก สาปสูญ เป็น สาบสูญ

ไร้ร่องรอย (22. ทันย่า วิลล่า แก้ไขครั้งที่ 1)

๏ ดีร้ายรบเศิกซ้ำ                        สุดฉงน
แสนฉงายกลายกล                      วิกฤตแก้
ประโลมประเล่ห์เฉฉล                 ฉลักอยู่ คู่เฮย
คือผลัดชนะผลัดแพ้                     พ่ายเพี้ยงโลกธรรม

๏ กงกำเกวียนขับคล้อย                เคลื่อนหมุน
รางรุ่งคราอรุณ                            เร่งล้อ
รอยทางย่างบาปบุญ                    ระบุบ่ง กงแฮ
มีสุขมีทุกข์ท้อ                            หนักแท้เล่มเกวียน

๏ วนเวียนในเวิ้งวาบ                  วูบไหว
วรรคว่างระหว่างใจ                    จ่อมวุ้ง
เพียงพลาดอาจเผลอไผล              ผิดรูป นามแล
ติดกับดักจักสะดุ้ง                        สะเดาะได้ฤๅไฉน

๏ ในใจปรุงแต่งแต้ม                   โดยตน
กลายเหตุมาเกิดผล                      ผลิตสร้าง
เกิดดับกับกรรมกล                       กิจก่อ
จริงเท็จที่อิงอ้าง                          อาจแท้แลลวง

๏ จักรวาลกลวงเปล่าสิ้น              สะสาง
อวิชชาอำพราง                           ปิดพร้อม
โลกาหล่นตรงกลาง                     กำเนิด เนิ่นนา
เพียรฝ่าจากวงล้อม                      ว่างแล้วสาบสูญ

๏ จำรูญหรือเสื่อมไร้                   จำเริญ
กว้างแคบก็ขาดเกิน                     กว่ากว้าง
เสพสุขโศกสรรเสริญ                   ซ่องเสพย์
สำเร็จในรู้ร้าง                             โลกไร้ร่องรอย

………………………. (22. ทันย่า วิลล่า แก้ไขครั้งที่ 1) …………

23. ยงยุทธ
ส่งทางเว็บบอร์ด

อจินไตย (23. ยงยุทธ)

๑. ปฐมบทแห่งห้วง                     จักรวาล
แสงแรกแพรกชัชวาล                   โชติฟุ้ง
ทิพาพร่างรัตติกาล                       กำเนิด
อวกาศประภาสรุ้ง                       ลึกล้ำอัศจรรย์

 ๒. ลุวารวันพลบคล้อย                ค่ำคืน
ล่วงอดีตฤฝ่าฝืน                          ข่มท้า   
"ชรา" ภาพเกาะกัดกลืน                กร่อน"ชาติ"
พรหมลิขิตขีด"ภพ"กล้า                กล่อมฟ้าอสงไขย

๓. "อจินไตย"ตรึกรู้                     ตรองทวน 
ผัสสะระรัญจวน                         จริตจ้อง
วิถีโลกปราชญ์ควร                      ปริทัศน์
ปฏิบัติขจัดขัดข้อง                       เพริศพร้องพุทธะ

๔. อนรรฆค่าเอนกล้น                  มวลสาร
ปริภูมิระหว่างกาล                      เหลื่อมซ้อน
พลวัตแห่งวันวาน                       โน้มถ่วง
วิกฤติกิเลสรุกร้อน                       ยอกย้อนทุกระนาบ

๕. ปัจเจกภาพรติแผ้ว                  ผ่องหทัย
มโนนึกตรึกภายใน                      เพ่งค้น
"สติ"กลั่นตะกอนใจ                     ตกผลึก
"สุญญะ"สงบสุขล้น                     พิสุทธิ์ล้ำพิสดาร

๖. อณูสารกลุ่มก้อน                    อวกาศ
แปลกประหลาดอำนาจ                โอบอุ้ม
เคลื่อนขับสรรพธาตุ                     ปริวรรต
ปฏิเวธธรรมปกคุ้ม                      ครอบขั้นปรมัตถ์

๗. ปัจฉิมบทสุดท้าย                   จักรวาล
แสงแรกหรี่ อดีตกาล-                  มอดมล้าง
"ว่าง-เปล่า"ปลาสนาการ              ทุกคติ
เอกภพจักรกร้าง                          เปล่าสิ้นฤๅไฉน

………………………. (23. ยงยุทธ) ……………

24. ยงยุทธ ส่งครั้งแรกมีแก้ไข
ส่งทางเว็บบอร์ด

ทะนานก้นกลวง (24. ยงยุทธ ส่งครั้งแรกมีแก้ไข)

                  ๑
ใบ   บัวผุดช่อแพร้ว                     แพรวพรรณ
ไม้   ใหญ่ให้รังอัน                      นิเวศน์แก้ว
หนึ่ง ศอกนับห่างกัน                    ว่าโยชน์ เปรียบฤๅ
กำ   ก่อมรรคผ่องแผ้ว                  เลิศแล้วพุทธมุนี

                  ๒
น้ำ    หยดหยดร่วมร้อย                ลำธาร
ค้าง  คลั่งดั่งใจปาน                     เอ่อล้น
พร่าง พร่างจักรวาล                     ล้านโกฏิ
หญ้า  หย่อมย่อมแตกต้น              โอบคุ้มคุมดร

                  ๓
เดือน   อัปสรเสน่ห์ฟ้า                 มหาสวรรค์
ดาว    บ่พรากจันทร์                   จรัสสร้อย
พราว  พร่างพรึกตะวัน                 ทรงกลด วิเศษแล
ฟ้า     ทึ่งแสงหิ่งห้อย                   แช่มช้อยชัชวาล

                   ๔
น้ำ     ตาลหวานซ่านซึ้ง               ตรึงทรวง
ตา     หว่านเสน่ห์ลวง                 ลึกร้าย
เพียง   เพรียกเพื่อตักตวง              ตะกละ
หยด   หนึ่งน้ำตาคล้าย                 คับแค้นทรมาน

                  ๕
ทะ     นานกะโหลกมะพร้าว        ก้นกลวง
เล      เล่ห์ฤๅตักตวง                    ชั่งได้
ว่า      ว่าแว่วคำลวง                   กลับเชื่อ จริตหนอ
ลึก      หยั่งถึงก้นไซร้                  แก่นแท้สันดาน

                  ๖
ท้อง     ทุ่งตระหง่านกว้าง            ทิพย์สถาน
ฟ้า      รุ่งรุ้งพบพาน                    แพรกฟ้า
ว่า       มนุษย์วัฏสงสาร              เทวษส่ง
กว้าง    กว่ากิเลสกล้า                  ทุกข์นี้จบไฉน

                  ๗

เวิ้ง      ฉงนอจินไตยให้               ฉุกฉงาย
ว้าง      วิเวกดั่งผีพราย                ห่าล้อม
ว่าง      เว้นเวี่ยวุ่นวาย                วิปลาส จิตเอย
เปล่า    เปรื่องประเสริฐน้อม         ทิพย์แท้สัจธรรม

………………………. (24. ยงยุทธ ส่งครั้งแรกมีแก้ไข) ………

25. ยงยุทธ แก้ไขครั้งที่ 1
ส่งทางเว็บบอร์ด
บทที่ 2 บาทที่ 1 จากของเดิม แก้เป็น          น้ำ    หยดทีละน้อย เป็นธาร

ทะนานก้นกลวง (25. ยงยุทธ แก้ไขครั้งที่ 1)

                  ๑
ใบ   บัวผุดช่อแพร้ว                     แพรวพรรณ
ไม้   ใหญ่ให้รังอัน                      นิเวศน์แก้ว
หนึ่ง ศอกนับห่างกัน                    ว่าโยชน์ เปรียบฤๅ
กำ   ก่อมรรคผ่องแผ้ว                  เลิศแล้วพุทธมุนี

                  ๒
น้ำ    หยดทีละน้อย                     เป็นธาร
ค้าง  คลั่งดั่งใจปาน                     เอ่อล้น
พร่าง พร่างจักรวาล                     ล้านโกฏิ
หญ้า  หย่อมย่อมแตกต้น              โอบคุ้มคุมดร

                  ๓
เดือน   อัปสรเสน่ห์ฟ้า                 มหาสวรรค์
ดาว    บ่พรากจันทร์                   จรัสสร้อย
พราว  พร่างพรึกตะวัน                 ทรงกลด วิเศษแล
ฟ้า     ทึ่งแสงหิ่งห้อย                   แช่มช้อยชัชวาล

                   ๔
น้ำ     ตาลหวานซ่านซึ้ง               ตรึงทรวง
ตา     หว่านเสน่ห์ลวง                 ลึกร้าย
เพียง   เพรียกเพื่อตักตวง              ตะกละ
หยด   หนึ่งน้ำตาคล้าย                 คับแค้นทรมาน

                  ๕
ทะ     นานกะโหลกมะพร้าว        ก้นกลวง
เล      เล่ห์ฤๅตักตวง                    ชั่งได้
ว่า      ว่าแว่วคำลวง                   กลับเชื่อ จริตหนอ
ลึก      หยั่งถึงก้นไซร้                  แก่นแท้สันดาน

                  ๖
ท้อง     ทุ่งตระหง่านกว้าง            ทิพย์สถาน
ฟ้า      รุ่งรุ้งพบพาน                    แพรกฟ้า
ว่า       มนุษย์วัฏสงสาร              เทวษส่ง
กว้าง    กว่ากิเลสกล้า                  ทุกข์นี้จบไฉน

                  ๗

เวิ้ง      ฉงนอจินไตยให้               ฉุกฉงาย
ว้าง      วิเวกดั่งผีพราย                ห่าล้อม
ว่าง      เว้นเวี่ยวุ่นวาย                วิปลาส จิตเอย
เปล่า    เปรื่องประเสริฐน้อม         ทิพย์แท้สัจธรรม

………………………. (25. ยงยุทธ แก้ไขครั้งที่ 1) ……………

26. ยงยุทธ แก้ไขครั้งที่ 2
ส่งทางเว็บบอร์ด
บทที่ 3 บาทที่ 2  แก้เป็น              ดาว    บ่พรากจากจันทร์ จรัสสร้อย

ทะนานก้นกลวง (26. ยงยุทธ แก้ไขครั้งที่ 2)

                  ๑
ใบ   บัวผุดช่อแพร้ว                     แพรวพรรณ
ไม้   ใหญ่ให้รังอัน                      นิเวศน์แก้ว
หนึ่ง ศอกนับห่างกัน                    ว่าโยชน์ เปรียบฤๅ
กำ   ก่อมรรคผ่องแผ้ว                  เลิศแล้วพุทธมุนี

                  ๒
น้ำ    หยดทีละน้อย                     เป็นธาร
ค้าง  คลั่งดั่งใจปาน                     เอ่อล้น
พร่าง พร่างจักรวาล                     ล้านโกฏิ
หญ้า  หย่อมย่อมแตกต้น              โอบคุ้มคุมดร

                  ๓
เดือน   อัปสรเสน่ห์ฟ้า                 มหาสวรรค์
ดาว    บ่พรากจากจันทร์              จรัสสร้อย
พราว  พร่างพรึกตะวัน                 ทรงกลด วิเศษแล
ฟ้า     ทึ่งแสงหิ่งห้อย                   แช่มช้อยชัชวาล

                   ๔
น้ำ     ตาลหวานซ่านซึ้ง               ตรึงทรวง
ตา     หว่านเสน่ห์ลวง                 ลึกร้าย
เพียง   เพรียกเพื่อตักตวง              ตะกละ
หยด   หนึ่งน้ำตาคล้าย                 คับแค้นทรมาน

                  ๕
ทะ     นานกะโหลกมะพร้าว        ก้นกลวง
เล      เล่ห์ฤๅตักตวง                    ชั่งได้
ว่า      ว่าแว่วคำลวง                   กลับเชื่อ จริตหนอ
ลึก      หยั่งถึงก้นไซร้                  แก่นแท้สันดาน

                  ๖
ท้อง     ทุ่งตระหง่านกว้าง            ทิพย์สถาน
ฟ้า      รุ่งรุ้งพบพาน                    แพรกฟ้า
ว่า       มนุษย์วัฏสงสาร              เทวษส่ง
กว้าง    กว่ากิเลสกล้า                  ทุกข์นี้จบไฉน

                  ๗

เวิ้ง      ฉงนอจินไตยให้               ฉุกฉงาย
ว้าง      วิเวกดั่งผีพราย                ห่าล้อม
ว่าง      เว้นเวี่ยวุ่นวาย                วิปลาส จิตเอย
เปล่า    เปรื่องประเสริฐน้อม         ทิพย์แท้สัจธรรม

………………………. (26. ยงยุทธ แก้ไขครั้งที่ 2) ……………

27. ยงยุทธ แก้ไขครั้งที่ 3
ส่งทางเว็บบอร์ด
บทที่ 7 บาทแรก ขอแก้เป็น                       เวิ้ง      อจินไตยฉุกให้ ฉงนฉงาย

ทะนานก้นกลวง (27. ยงยุทธ แก้ไขครั้งที่ 3)

                  ๑
ใบ   บัวผุดช่อแพร้ว                     แพรวพรรณ
ไม้   ใหญ่ให้รังอัน                      นิเวศน์แก้ว
หนึ่ง ศอกนับห่างกัน                    ว่าโยชน์ เปรียบฤๅ
กำ   ก่อมรรคผ่องแผ้ว                  เลิศแล้วพุทธมุนี

                  ๒
น้ำ    หยดทีละน้อย                     เป็นธาร
ค้าง  คลั่งดั่งใจปาน                     เอ่อล้น
พร่าง พร่างจักรวาล                     ล้านโกฏิ
หญ้า  หย่อมย่อมแตกต้น              โอบคุ้มคุมดร

                  ๓
เดือน   อัปสรเสน่ห์ฟ้า                 มหาสวรรค์
ดาว    บ่พรากจากจันทร์              จรัสสร้อย
พราว  พร่างพรึกตะวัน                 ทรงกลด วิเศษแล
ฟ้า     ทึ่งแสงหิ่งห้อย                   แช่มช้อยชัชวาล

                   ๔
น้ำ     ตาลหวานซ่านซึ้ง               ตรึงทรวง
ตา     หว่านเสน่ห์ลวง                 ลึกร้าย
เพียง   เพรียกเพื่อตักตวง              ตะกละ
หยด   หนึ่งน้ำตาคล้าย                 คับแค้นทรมาน

                  ๕
ทะ     นานกะโหลกมะพร้าว        ก้นกลวง
เล      เล่ห์ฤๅตักตวง                    ชั่งได้
ว่า      ว่าแว่วคำลวง                   กลับเชื่อ จริตหนอ
ลึก      หยั่งถึงก้นไซร้                  แก่นแท้สันดาน

                  ๖
ท้อง     ทุ่งตระหง่านกว้าง            ทิพย์สถาน
ฟ้า      รุ่งรุ้งพบพาน                    แพรกฟ้า
ว่า       มนุษย์วัฏสงสาร              เทวษส่ง
กว้าง    กว่ากิเลสกล้า                  ทุกข์นี้จบไฉน

                  ๗

เวิ้ง      อจินไตยฉุกให้                 ฉงนฉงาย
ว้าง      วิเวกดั่งผีพราย                ห่าล้อม
ว่าง      เว้นเวี่ยวุ่นวาย                วิปลาส จิตเอย
เปล่า    เปรื่องประเสริฐน้อม         ทิพย์แท้สัจธรรม

………………………. (27. ยงยุทธ แก้ไขครั้งที่ 3) ………

28. พีรมิตร
ส่งทางเว็บบอร์ด

จักรกาล (28. พีรมิตร)

เฒ่าหนึ่งแลตึกระฟ้า         ฟั่นเฟือน ฤานอ
เกาศีรษะปากบ่นเบือน                 เปล่งบ้า
หิมวันตประเทศเลือน                  ไปลับ  ฤานอ
เหล่าสัตว์เสือช้างม้า                    มอดม้วยหมดหรือ                    

มือหยิบผืนภาพพื้น          ดินแดน
คลี่อ่านแล้วซึมแสน                     โศกเศร้า
เสียงเครือสั่นสบถแคลน               คำแค่น คำนอ
เปล่าว่างกาลย่างเข้า                ย่อมคล้อยคืนคลาย

แกเพ่งกายตึกระฟ้า          อีกที
แล้วเหลือบกายตนฤดี                  โลดเต้น
คราหนุ่มอาตมามี                        มวลชาติ ฉกรรจ์นอ
ที่สุดกาลบีบเค้น                          ย่อมคล้ายตามกรรม

รำพึงอดีตถิ่นนี้                เป็นพนา  ใหญ่นอ
ปัจจุบันตึกนครา                         รุ่งรุ้ง
อนาคตใครหนา                          รู้ล่วง หน้านอ
ไตรลักษณ์กฎย่อมฟุ้ง                  ปรับฟ้าเปลี่ยนสี

ลึกวลีในจิตเจ้า               เฒ่าชรา
แกเพ่งมองเวลา                          ลึกซึ้ง
เพ่งจนพบมายา                          ยื่นภาพ ว่างนอ
สรรพสิ่งถูกกาลทึ้ง                      กลบทิ้งทางธาร

            กาลเดินทางย่อมทิ้ง         ปริศนา
ความว่าง  เปล่าทุกครา                เคลื่อนคล้อย
บางทีลุเฒ่าชรา                           จึงพบ เห็นนอ
ทุกข์อนิจจังต้อย                          อนัตต์ต้องจักรกาล

เฒ่าหาญหันกลับแล้ว       เลือนหาย
ตึกเมื่อครู่กลับกลาย                     มืดคว้าง
ฉับพลันตะวันฉาย                      แสงส่อง
โลกที่เห็นไกลกว้าง                     ว่าง เวิ้ง เปล่าดาย ฯ

………………………. (28. พีรมิตร) ………………

29. คัมภีร์ปัญญา ป

ส่งทางเว็บบอร์ด

เบญจขันธ์สุญญตา (29. คัมภีร์ปัญญา ป)

ขันธ์ห้ากำเนิดสร้าง                  ชีวา
ปฏิจจสัมมา                               ชอบบ้าง
เรียกสมมตินานา                        ชีวิต
ธาตุสี่ร่วมสรรค์สร้าง                   แค่นั้นคนเรา ฯ

เหตุปัจจัยร่วมขึ้น                    เป็นกอง
สุมร่างกายประคอง                     ทราบซึ้ง
หมายจำจดปรองดอง                   ปรุงแต่ง
บ่อเกิดกมลบึ้ง                            รับรู้ปัจจัย ฯ

รูปกายสง่าให้                         หมายมอง
พลันร่างเน่าพุพอง                       เมื่อม้วย
มีเกิดดับทำนอง                          ธรรมชาติ
หายว่างสูญสิ้นด้วย                     กลุ่มก้อนมายา ฯ

เสวยรู้สึกต้อง                         อารมณ์
รสชาติกระทบปม                       จิตให้
สุขและทุกข์ระทม                       กำหนด
พาเวทนาใกล้                             ล่วงรู้ความจริง ฯ

ความจำหมายจดได้                สำคัญ
อดีตปัจจุบัน                               เช่นนี้
เกิดดับเกิดสูญพลัน                      ชั่ววูบ
อนิจจาบ่งชี้                                เที่ยงแท้ไม่เลย ฯ

สิ่งปรุงแต่งจิตให้                     ดีงาม
เกิดจากการติดตาม                      คิดค้น
ทำพูดคิดวับวาม                         พินิจ
ไม่ยึดมั่นหลุดพ้น                        หากแจ้งไขความ ฯ

การรอบรู้ทั่วสิ้น                      วิญญาณ
สะสั่งสมนมนาน                        ฝากไว้
ปัญญาหยั่งรู้กาล                         ท่องเที่ยว
หาที่เกิดกายได้                           ภพน้อยใหญ่เอง ฯ

นิพพิทาฝ่ายห้า                        ขันธ์มาร
บ่มก่อกิเลสพาล                          ชั่วช้า
อันมนุษย์วันวาน                        ว้าวุ่น
ข้องอยู่ในโลกหน้า                      อย่างนี้เช่นเคย ฯ

ดับขันธ์หมดจดสิ้น                  นิพพาน
ไม่เร่าร้อนบันดาล                       ว่างแท้
เย็นสนิทดุจธาร                          สงบ 
โลภโกรธหลงพ่ายแพ้                  ไม่ข้องขัดใจ ฯ

………………………. (29. คัมภีร์ปัญญา ป) ………

30. ทรงธรรม ส่งครั้งแรกมีแก้ไข
ส่งทางเว็บบอร์ด

ใดใดอนัตตาว่างเปล่า (30. ทรงธรรม ส่งครั้งแรกมีแก้ไข)

๐ ไอจางคลุมยอดหญ้า ........ คราอรุณ
ไอหมอกขาวราวหนุน .......... แมกไม้
ไอเย็นอย่างละมุน .............. ชนชื่น
สายผ่าวแผดสายให้ ............ หมดแล้วไอเย็น ฯ                  

๐ เป็นอาหารน่าลิ้ม ............. สวยหรู
สารพัดจัดจานดู ................. อร่อยแท้   
หวานเค็มเผ็ดเลิศชู ............. หอมกลิ่น

พอพรุ่งปวดมวนแล้ ............. ถ่ายแล้วเหม็นจริง ฯ

๐ หญิงชายสวยหล่อครั้น ...... ยังเยาว์
ยามแก่เหี่ยวแลเฉา ............ ป่วยไข้
จีรังบ่มีเอา ....................... วิมุตติ
ที่สุดคือเผาไซร้ ................ สุดท้ายธุลี ฯ

๐ เปรมปรีดิ์ปรุงแต่งปั้น ........ จิตหลง
ติดกิเลสประสงค์ ............... สุขซร้อง
ยิ้มหัวระเริงองค์ ................ สุดสนุก
คราวเคราะห์ก็บ่นร้อง .......... ทุกข์โว้ยแสนเข็ญ ฯ

๐ ความจริงเป็นเช่นนั้น ........ ผองสหาย
เกิดแก่เจ็บและตาย ............ แน่แท้
ความเที่ยงไป่เที่ยงหมาย ..... ใดกอบ
สวยสุขทุกข์นั่นแล้ ............. สุดท้ายกลายเสมอ ฯ

๐ ปัญญาเลอเลิศคล้าย ....... มายา
อนิจจังสังขาร์ .................. เพ่งไว้
ใดใดอนัตตา ................... ว่างเปล่า
ปรมัตถ์ธรรมใช้ ................. จิตน้อมจิตสูง ฯ

………………………. (30. ทรงธรรม ส่งครั้งแรกมีแก้ไข) ……

31. ทรงธรรม แก้ไขครั้งที่ 1
ส่งทางเว็บบอร์ด

ใดใดอนัตตาว่างเปล่า (31. ทรงธรรม แก้ไขครั้งที่ 1)

๐ ไอจางคลุมยอดหญ้า ........ คราอรุณ
ไอหมอกขาวราวหนุน .......... แมกไม้
ไอเย็นอย่างละมุน .............. ชนชื่น
สายผ่าวแผดสายให้ ............ หมดแล้วไอเย็น ฯ                 

๐ เป็นอาหารน่าลิ้ม ............. สวยหรู
สารพัดจัดจานดู ................. อร่อยแท้            
หวานเค็มเผ็ดเลิศชู ............. หอมกลิ่น

พอพรุ่งปวดมวนแล้ ............. ถ่ายแล้วเหม็นจริง ฯ

๐ หญิงชายสวยหล่อครั้น ...... ยังเยาว์
ยามแก่เหี่ยวแลเฉา ............ ป่วยไข้
จีรังบ่มีเอา ....................... วิมุตติ
ที่สุดคือเผาไซร้ ................ สุดท้ายธุลี ฯ

๐ เปรมปรีดิ์ปรุงแต่งปั้น ........ จิตหลง
ติดกิเลสประสงค์ ............... สุขซร้อง
ยิ้มหัวระเริงองค์ ................ สุดสนุก
คราวเคราะห์ก็บ่นร้อง .......... ทุกข์โว้ยแสนเข็ญ ฯ

๐ ความจริงเป็นเช่นนั้น ........ ผองสหาย
เกิดแก่เจ็บและตาย ............ แน่แท้
ความเที่ยงไป่เที่ยงหมาย ..... ใดกอบ
สวยสุขทุกข์นั่นแล้ ............. สุดท้ายกลายเสมอ ฯ

๐ มนุษย์เลอเลิศคล้าย ....... มายา
อนิจจังสังขาร์ .................. เพ่งไว้
ใดใดอนัตตา ................... ว่างเปล่า
ปรมัตถ์ธรรมใช้ ................. จิตน้อมจิตสูง ฯ

………………………. (31. ทรงธรรม แก้ไขครั้งที่ 1) …………

32. ส.กวี ส่งครั้งแรกมีแก้ไข
ส่งทางเว็บบอร์ด

ความว่างเปล่า (32. ส.กวี ส่งครั้งแรกมีแก้ไข)

(1)..ถึงจะรวยเทียบฟ้า..........เพียงใด
หากเปล่าเปลี่ยวหัวใจ...........บอกได้
ยามว้าเหว่มีใคร....................จะช่วย
เมื่อมิตรมาแยกย้าย..............หลบหน้าหนีหาย

(2)..ควรอับอายเมื่อได้..........หลงผิด
ควรพร่ำนำให้จิต..................ผ่องแผ้ว
เป็นนายหรือบ่าวคิด..............แบ่งแยก
ผลที่สุดไม่แคล้ว..................ปวดร้าวเศร้าหมอง

(3)..หากชั่วครองหมดแล้ว........หัวใจ
กระหน่ำหมายจุดไฟ.................ก่อเชื้อ
ความกลัวยากหาใคร.................ปกปัก
หากขาดความเอื้อเฟื้อ..............ยากแท้นึกถึง

(4)..บึงบ่อต้องเก็บน้ำ...............สำรอง
ดั่งหทัยครอบครอง...................มิตรไว้
ในเมื่อหากเลิกมอง..................มวลมิตร
น้ำจิตบึงบ่อใช้.......................เหือดแห้งหมดสูญ

(5)..พูนเพิ่มมีมากขึ้น.............ขาดแคลน
เมินห่างจักรกลแทน................เลิกจ้าง
คนต้องตกงานแสน...............เจ็บปวด
ต้องทุกข์ทนเอ่ยอ้าง............หมดแล้วความหมาย

(6)..มากล้ำกลืนหยาดน้ำ-.......-ตาริน ไหลแฮ
หมายมั่นที่ทำกิน.....................จบสิ้น
ความว่างเปล่าชีวิน..................ตกอับ สิ้นแล
หากฆ่าตัวดับดิ้น....................ไม่แคล้วกล่าวขาน

………………………. (32. ส.กวี ส่งครั้งแรกมีแก้ไข) ……………

33. ส.กวี แก้ไขครั้งที่ 1
ส่งทางเว็บบอร์ด

ความว่างเปล่า ที่..แสนเปล่าเปลี่ยว (33. ส.กวี แก้ไขครั้งที่ 1)

(1)..ถึงจะรวยเทียบฟ้า..........เพียงใด
หากเปล่าเปลี่ยวหัวใจ...........บอกได้
ยามว้าเหว่มีใคร....................จะช่วย
เมื่อมิตรมาแยกย้าย..............หลบหน้าหนีหาย

(2)..ควรอับอายเมื่อได้..........หลงผิด
ควรพร่ำนำให้จิต..................ผ่องแผ้ว
เป็นนายหรือบ่าวคิด..............แบ่งแยก
ผลที่สุดไม่แคล้ว..................ปวดร้าวเศร้าหมอง

(3)..หากชั่วครองหมดแล้ว........หัวใจ
กระหน่ำหมายจุดไฟ.................ก่อเชื้อ
ความกลัวยากหาใคร.................ปกปัก
หากขาดความเอื้อเฟื้อ..............ยากแท้นึกถึง

(4)..บึงบ่อต้องเก็บน้ำ...............สำรอง
ดั่งหทัยครอบครอง...................มิตรไว้
ในเมื่อหากเลิกมอง..................มวลมิตร
น้ำจิตบึงบ่อใช้.......................เหือดแห้งหมดสูญ

(5)..พูนเพิ่มมีมากขึ้น.............ขาดแคลน
เมินห่างจักรกลแทน................เลิกจ้าง
คนต้องตกงานแสน...............เจ็บปวด
ต้องทุกข์ทนเอ่ยอ้าง............หมดแล้วความหมาย

(6)..มากล้ำกลืนหยาดน้ำ-.......-ตาริน ไหลแฮ
หมายมั่นที่ทำกิน.....................จบสิ้น
ความว่างเปล่าชีวิน..................ตกอับ สิ้นแล
หากฆ่าตัวดับดิ้น....................ไม่แคล้วกล่าวขาน

………………………. (33. ส.กวี แก้ไขครั้งที่ 1) …………

34. ส.กวี แก้ไขครั้งที่ 2
ส่งทางเว็บบอร์ด

ความว่างเปล่า ที่เปล่าเปลี่ยว (34. ส.กวี แก้ไขครั้งที่ 2)

(1)..ถึงจะรวยเทียบฟ้า..........เพียงใด
หากเปล่าเปลี่ยวหัวใจ...........บอกได้
ยามว้าเหว่มีใคร....................จะช่วย
เมื่อมิตรมาแยกย้าย..............หลบหน้าหนีหาย

(2)..ควรอับอายเมื่อได้..........หลงผิด
ควรพร่ำนำให้จิต..................ผ่องแผ้ว
เป็นนายหรือบ่าวคิด..............แบ่งแยก
ผลที่สุดไม่แคล้ว..................ปวดร้าวเศร้าหมอง

(3)..หากชั่วครองหมดแล้ว........หัวใจ
กระหน่ำหมายจุดไฟ.................ก่อเชื้อ
ความกลัวยากหาใคร.................ปกปัก
หากขาดความเอื้อเฟื้อ..............ยากแท้นึกถึง

(4)..บึงบ่อต้องเก็บน้ำ...............สำรอง
ดั่งหทัยครอบครอง...................มิตรไว้
ในเมื่อหากเลิกมอง..................มวลมิตร
น้ำจิตบึงบ่อใช้.......................เหือดแห้งหมดสูญ

(5)..พูนเพิ่มมีมากขึ้น.............ขาดแคลน
เมินห่างจักรกลแทน................เลิกจ้าง
คนต้องตกงานแสน................เจ็บปวด
ต้องทุกข์ทนเอ่ยอ้าง..............หมดแล้วสุดฝืน

(6)..ทนกล้ำกลืนหยาดน้ำ-.......-ตาริน ไหลแฮ
หมายมั่นที่ทำกิน.....................จบสิ้น
ความว่างเปล่าชีวิน..................ตกอับ สิ้นแล
หากชีพกายดับดิ้น...................ไม่แคล้วกล่าวขาน

………………………. (34. ส.กวี แก้ไขครั้งที่ 2) ………

35. ศักรินทร์
ส่งทางเว็บบอร์ด

สุญญตา (35. ศักรินทร์)

      ๐ หนึ่ง..ช่วงชีพเปล่าไร้                      นรชาติ
       สดับพุทธพจน์ประกาศ                     แก่นถ้วน
       ในโปร่งนอกนั้นปราศ            เปลือยเปล่า
      “ ทั้งนอกและในล้วน               โล่งไร้อนัตตา

       ๐ สอง..ขาสองหัตถ์เพี้ยง        พึงตรอง
       นัยบ่งบอกครรลอง                 เลศสร้าง
       พิการง่อยหงิกหมอง               หม่นเทวษ
        ศักดิ์มนุษย์ไป่เริดร้าง             ร่วมฟ้าเดียวเสมอ

       ๐ สาม..ภพเลอเลิศชั้น             คติชน
        ใดแบ่งจำแนกหน                  แห่งห้อง
        ก็ดวงจิตแห่งคน                     นั่นขับ  เคลื่อนแล
         ดีชั่ว,สูงต่ำต้อง                               แต่ท้องภูมิตรี

       ๐ สี่..ทิศกำหนดโค้ง                ขอบขัณฑ์
        สาคเรศแยกเขตปัน                ปักด้าว
         ศิขรแบ่งกอพรรณ                 พฤกษชาติ
        “กรรมสัตว์กำหนดก้าว          ก่อห้วงอสงไขย

        ๐ สาม..หาวใจมนุษย์นั้น    นมนาน             
         อ่ำอกุศลมูลมาร                             มืดกล้า
         แต่เกิดล่วงชรากาล                         กายดับ  สิ้นเนอ
         เมาทรัพย์สมบัติบ้า                         บอดใบ้มัวหมอง

         ๐ สอง..ส่วนในจิตเร้น        รึงแฝง 
         จิตหนึ่งวิสุทธิ์แสง                          สุกแพร้ว
          อีกจิตหม่นกำแหง                         เหิมเห่อ
          ปราบเกลศมารราบแล้ว     ล่มสิ้นโมหันธ์          

         ๐ หนึ่ง..ใจอันผ่องแผ้ว          พิสิฐ
          ปรมัตถ์ธรรมสถิต             ถ่องเกล้า
          มรรควิมุตติจรุงจิตต์          แจ่มจรัส
         “วางสรรพสิ่งใต้เท้า                       แทบเบื้องสุญญตา

………………………. (35. ศักรินทร์) …………

36. ณ คะนึง ส่งครั้งแรกมีแก้ไข
ส่งทางเว็บบอร์ด

วางก็ว่าง (36. ณ คะนึง ส่งครั้งแรกมีแก้ไข)

๏ ในพร่างพรายพ่างพื้น               พัสถาน
สมบัติธาตุดาปการ                                  เกลื่อนคว้า
รูปกายจิตสังขาร                                     คนจริต  แรมเอย
หนสว่างทางโลกหล้า                  ตื่นรู้สร่างสาง ฯ

๏ ใจว่างวางหลีกเว้น                   กังวล
เทสาดทุกสับสน                                     เสื่อมด้อย
จงมาดสมาสมนต์                                   หมายสว่าง
ละเสพสุขโศกสร้อย                    ส่องถ้วนทังหลาย ฯ

๏ กายธาตุทังธาตุกว้าง                กลางหาว
วิโยคยังเหยียดยาว                                  หยัดกล้ำ
สากลอัตตากราว                                     กลางธาตุ
วิปโยคโยกแยบย้ำ                                  ย่ำเยื้อยังสมัย ฯ

๏ จิตใจในอาตม์แจ้ง                   แจงจำ
พินิจปราชญานำ                                     เนื่องพร้อม
พันธะจิตกระทำ                                      ทามว่าง
วางจิตก็อาจอ้อม                                     โอบเอื้อเองตน ฯ

๏ มรรคผลผลิตแผ้ว                     ผลใด
วางว่างระหว่างใจ                      จดจ้อง
ทางสุขก็สุกใส                                        สมมาด
วางคู่ใจสอดคล้อง                       ครบถ้วนขบวนธรรม ฯ

๏ กำซาบตบะสร้าง                     สุญญตา
จิตว่างวางวิญญาณ์                                 หยาดแย้ม
อริยสัจศรัทธา                                        ธรรมชาติ
กิเลสปลาตแง้ม                                       สงบรู้ปฏิปทา ฯ

๏ ปัญญาประดุจเหย้า                  โยงตน
ระยับประมาณยล                       เยี่ยงไม้
รากเพรียงกิ่งดอกผล                    เพ็งดื่น
ทังสติปัญญาไซร้                        สืบอ้างอารมณ์ ฯ     

๏ สังขารปมแปดเปื้อน                 เรือนกาย
เทศะยังสาบสาย                                     ส่อเชื้อ
ตัวตนแก่เจ็บตาย                         ยถาต่าง
ในว่างวางอาตม์เอื้อ                    อ่านรู้สังขาร ฯ

๏ นิรพาณนิรทุกข์สิ้น                   สลายสูญ
กิเลสดับประดับจรูญ                    จรัสเพี้ยง
หมายมาดกุศลมูล                       หมางกิเลส
ปางทุกข์ก็ปราศเกลี้ยง                  เกิดว้างว่างเอง ฯ

๏ ลำนำเพลงแผ่วน้าว                  ขนาบดิน
หนหนักประจักษ์หิน                    ปล่อยค้อม
กายธาตุปราศมลทิน                    ทังจิต  วางเฮย
วางก็ว่างเยี่ยงย้อม                      ย่อมน้าวขนาบสวรรค์ ฯ

………………………. (36. ณ คะนึง ส่งครั้งแรกมีแก้ไข) …………

37. ณ คะนึงแก้ไขครั้งที่ 1
ส่งทางเว็บบอร์ด

วางก็ว่าง (37. ณ คะนึง แก้ไขครั้งที่ 1)

๏ ในพร่างพรายพ่างพื้น               พัสถาน
สมบัติธาตุดาปการ                                  เกลื่อนคว้า
รูปกายจิตสังขาร                                     คนจริต  แรมเอย
หนสว่างทางโลกหล้า                  ตื่นรู้สร่างสาง ฯ

๏ ใจว่างวางหลีกเว้น                   กังวล
เทสาดทุกสับสน                                     เสื่อมด้อย
จงมาดสมาสมนต์                                   หมายสว่าง
ละเสพสุขโศกสร้อย                    ส่องถ้วนทังหลาย ฯ

๏ กายธาตุทังธาตุกว้าง                กลางหาว
วิโยคยังเหยียดยาว                                  หยัดกล้ำ
สากลอัตตากราว                                     กลางธาตุ
วิปโยคโยกแยบย้ำ                                  ย่ำเยื้อยังสมัย ฯ

๏ จิตใจในอาตม์แจ้ง                   แจงจำ
พินิจปราชญานำ                                     เนื่องพร้อม
พันธะจิตกระทำ                                      ทามว่าง
วางจิตก็อาจอ้อม                                     โอบเอื้อเองตน ฯ

๏ มรรคผลผลิตแผ้ว                     ผลใด
วางว่างระหว่างใจ                      จดจ้อง
ทางสุขก็สุกใส                            สมมาด
วางคู่ใจสอดคล้อง                       ครบถ้วนขบวนธรรม ฯ

๏ กำซาบตบะสร้าง                     สุญญตา
จิตว่างวางวิญญาณ์                                 หยาดแย้ม
อริยสัจสืบสัทธา                         ธรรมชาติ
ละกิเลสปลาตแง้ม                       สงบรู้ปฏิปทา ฯ

๏ ปัญญาประดุจเหย้า                  โยงตน
ระยับประมาณยล                       เยี่ยงไม้
รากเพรียงกิ่งดอกผล                    เพ็งดื่น
ทังสติปัญญาไซร้                        สืบอ้างอารมณ์ ฯ     

๏ สังขารปมแปดเปื้อน                 เรือนกาย
เทศะยังสาบสาย                                     ส่อเชื้อ
ตัวตนแก่เจ็บตาย                         ยถาต่าง
ในว่างวางอาตม์เอื้อ                    อ่านรู้สังขาร ฯ

๏ นิรพาณนิรทุกข์สิ้น                   สลายสูญ
กิเลสดับประดับจรูญ                    จรัสเพี้ยง
หมายมาดกุศลมูล                       หมางกิเลส
ปางทุกข์ก็ปราศเกลี้ยง                  เกิดว้างว่างเอง ฯ

๏ ลำนำเพลงแผ่วน้าว                  ขนาบดิน
หนหนักประจักษ์หิน                    ปล่อยค้อม
กายธาตุปราศมลทิน                    ทังจิต  วางเฮย
วางก็ว่างเยี่ยงย้อม                      ย่อมน้าวขนาบสวรรค์ ฯ

………………………. (37. ณ คะนึง แก้ไขครั้งที่ 1) …………

38. จินตนาในแดนแห่งความรัก
ส่งทางเว็บบอร์ด

ใจที่ห่างหาย (38. จินตนาในแดนแห่งความรัก)

เรารักกันผ่านร้อย.......กลอนกวี
รักผ่านเสียงดนตรี........สุดซึ้ง
รักหวานปักใจนี้............คงแน่
รักผ่านสำเนียงซึ้ง .......ท่วงถ้อยรำพัน

เพราะความรักเริ่มนั้น  ... .จากเพลง
หวานผ่านบทบรรเลง......รักเจ้า
ใจเราเมื่อฟังเพลง ........มีสุข
ยามอ่านบทเพลงเคล้า ....สุขถ้อยเคียงกัน

เราผูกพันใจสุขใกล้ .......ความรัก
ใครส่งรักตรึงปัก...........ก่อนนี้
เพราะใจห่วงใจนัก.........นึกถึง อีกใจ
ใจที่มีเคียงนี้.. .............ก่อนนั้นสุขกัน

ความรักหรือซาบซึ้ง .......ผ่านใจ
หรือรักเพียงพอใจ...... ...เมื่อใกล้
มีใครส่งถึงใจ...............หรือเปล่า
เขียนคิดถงฝากให้.........ไม่ได้ตอบมา

ความรักหลายสิ่งให้........เรียนรู้
จะส่งใจแลดู................ห่วงให้
จะคิดห่วงเอ็นดู............รอค่า
ยามใจฝากรักไว้ ..........สุดกลั้น ใจรอ

รอความรักส่งให้...........ลำพัง
รอพี่กับความหวัง..........ส่งใว้
รอความรักจะยัง............เคียงคู่
เพียงพี่จะลืมให้.............อยู่ใต้อาดูร

………………………. (38. จินตนาในแดนแห่งความรัก) …………………………




โคลงสี่สุภาพ 2557

ระดับอุดมศึกษาและประชาชนทั่วไป (โคลงสี่สุภาพ) : หัวข้อ “ความทุกข์”
ระดับอุดมศึกษาและประชาชนทั่วไป (โคลงสี่สุภาพ) : หัวข้อ “ความสุข”



bulletผลร้อยกรองออนไลน์ 2558
dot
ประกวดร้อยกรองออนไลน์ครั้งที่ 7
dot
bulletข้อมูลการประกวดครั้งที่ 7, 2557
bulletผังร้อยกรอง
bulletอ่านโคลงประกวด 2557
bulletอ่านกลอนประกวด 2557
bulletอ่านกาพย์ยานีประกวด 2557
bulletผลการประกวดร้อยกรอง ปี 2557
dot
ข่าวสาร ข้อมูลสมาคม
dot
bulletกรรมการสมาคมสมัยที่ ๑๕-๑๖
bulletนายกสมาคมสมัยที่ ๑๗
bulletติดต่อนายกสมาคมนักกลอน
bulletติดต่อฝ่ายดูแลส่วนต่างๆ
bulletสมัครสมาชิกสมาคมนักกลอน
bulletนักกลอนตัวอย่าง ๒๕๕๓
dot
หัวข้อน่าสนใจ
dot
bulletรวมลิ้งค์เว็บไซต์น่าสนใจ
bulletส่งบทสักวา น.ส.พ. สยามรัฐ
bulletวารสารวิทยาจารย์ รับต้นฉบับ
bulletส่งข้อเขียนครูในดวงใจ
dot
แนะนำหนังสือ
dot
bulletหน้ารวมหนังสือ
bulletคู่มือเรียนเขียนกลอน
bulletกาสรคำฉันท์ - สมคิด สิงสง
bulletหนังสือสุรินทร์สโมสร
bulletฝากโลกนี้ไว้ในหัวใจเธอ - กอนกูย
bulletเลือน - อติภพ
bulletธาร ธรรมโฆษณ์
bulletนายทิวา
bulletกลอนเกียรติยศ
bulletอ้อมกอดแห่งท้องทุ่ง
bulletทองแถม นาถจำนง
bulletพงศาวดารพิภพ
bulletโป๊ยเซียน คะนองฤทธิ์
dot
โครงการประกวดต่างๆ
dot
bulletนายอินทร์อะวอร์ด ๒๕๕๖
bulletประกวดรางวัลซีไรท์ปี ๒๕๕๖
bulletรางวัลพานแว่นฟ้า ปี ๒๕๕๖
bulletรางวัลวรรณกรรมรามคำแหง ๒๕๕๖
dot
ผลตัดสินรางวัลต่างๆ
dot
bulletรางวัลศรีบูรพา ๒๕๕๖
bulletผลรางวัลซีไรต์ ๒๕๕๗
bulletผลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ๒๕๕๗
bulletผลรางวัลแว่นแก้ว ๗ (๒๕๕๓)
bulletผลกลอนวิถีคนกับควาย
bulletผลร้อยกรอง “ผมจะเป็นคนดี”
bulletรางวัลนราธิป ๒๕๕๓
bulletนักเขียนอมตะ คนที่ ๖ (๒๕๕๕)
bulletนักเขียนรางวัลศรีบูรพา ๒๕๕๖
bulletศิลปินมรดกอีสาน ๒๕๕๔
bulletผลรางวัลพานแว่นฟ้า ๒๕๕๕
bulletผลรางวัลรามคำแหง ๒๕๕๖
bulletศิลปินแห่งชาติ ๒๕๕๕
bulletผลประกวดหนังสือ ชีวิตใหม่ 2
dot
ข่าวคราวของลมหายใจ
dot
dot
Weblink
dot
bulletอ่านกลอนประกวด 2556

หนังสือพิมพ์ คมชัดลึก
สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย
ศูนย์ให้คำปรึกษาปัญหาภาษาไทย มศว
เว็บรวมกระทู้ อาศรมชาวโคลง ใน pantip.com
หนังสืออีศาน


Copyright © 2010 All Rights Reserved.
ติดต่อ นายกสมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทย ทองแถม นาถจำนง
โทรศัพท์ ๐๘๙-๑๒๓๔๗๕๔ อีเมล์ tongtham.n@hotmail.com

สำนักพิมพ์แม่โพสพ