ชาติพันธุ์สุวรรณภูมิ
จาก ภูมิสังคมวัฒนธรรม มติชน ศ. 24 ส.ค.50
สุวรรณภูมิ เป็นชื่อเรียกภูมิภาคอุษาคเนย์ หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาแต่โบราณกาลราว 2,000 ปีมาแล้ว หมายถึงดินแดนที่มีพัฒนาการของบ้านเมืองบนพื้นฐานของความอุดมสมบูรณ์ มีความหลากหลายทางชีวภาพ และเป็นแหล่งตั้งถิ่นฐานของกลุ่มชาติพันธุ์ (Ethnic Groups) ที่มีความหลากหลายทั้งภาษา ศิลปะ และวัฒนธรรม ซึ่งล้วนมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันทางสังคมและวัฒนธรรม จนอาจกล่าวได้ว่ากลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในภูมิภาคนี้ก็คือบรรพชนทางวัฒนธรมของคนไทยในทุกวันนี้ด้วย ดังหลักฐานทั้งทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีที่ล้วนชี้ให้เห็นว่า ผู้คนในภูมิภาคนี้ได้มีการติดต่อ แลกเปลี่ยน สังสรรค์กันทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมมาเป็นเวลายาวนานตั้งแต่ยังไม่มีการเกิดขึ้นของรัฐชาติ และเส้นแบ่งเขตแดนออกเป็นประเทศต่างๆ ดังที่ปรากฏในปัจจุบัน
(บน) ม้อย คนพื้นเมืองดั้งเดิม บริเวณพรมแดนลาว-เวียดนาม ลายเส้นฝีมือชาวยุโรป (ซ้ายล่าง) คนพื้นเมืองสองฝั่งโขง ที่ถูกเรียกว่า ข่า (ขวาล่าง) คนพื้นเมืองถูกเรียกว่า "นาค" ที่เกาะนาควารี ถิ่นคนเปลือย คือพวกนาคอยู่กลางทะเลอันดามัน ในแผนที่ไตรภูมิฉบับกรุงธนบุรี
เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์และการพยายามปรับเปลี่ยนประเทศให้เป็นตะวันตก เช่น การสร้างความเป็นชาติที่เริ่มตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 และได้พัฒนาเป็นกระแสความรู้สึกชาตินิยมในสมัยต่อมา ได้ถูกยกมาเป็นแกนในการสร้างสำนึกให้ประชาชนส่วนใหญ่เข้าใจว่า ประเทศไทยเกิดมีพัฒนาการและเป็นแผ่นดินที่อยู่ของประชากรที่เป็นคนเชื้อชาติไทยมาแต่เดิม ทำให้สังคมไทยขาดความสนใจไยดีต่อประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงบรรดากลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ที่เคยมีบทบาทต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของบ้านเมืองมาตลอด
(บน) คนกำลังทำพิธีกรรมเมื่อ 3,000 ปีมาแล้ว ลายเส้นบนหน้ากลองมโหระทึกพบที่เวียดนาม ล้วนเป็นบรรพบุรุษเครือญาติชาติพันธุ์และชาติภาษาของคนอุษาคเนย์ทุกวันนี้ (ล่าง) ม้อย กลุ่มชาติพันธุ์พื้นเมืองดั้งเดิมในเวียดนาม ภาพนี้เป็นแถวรับเสด็จรัชกาลที่ 7 เสด็จเวียดนามเมื่อปี พ.ศ.2473
ปัญหาการขาดความเข้าใจและการรับรู้อย่างผิดๆ เกี่ยวกับพื้นภูมิของผู้คนและกลุ่มชาติพันธุ์อันหลากหลายในภูมิภาคนี้ ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย ได้กลายเป็นวิกฤตที่ส่งผลกระทบทั้งต่อบรรดากลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ที่ถูกสร้างให้กลายเป็นชนส่วนน้อยที่ด้อยโอกาสในทุกๆ ด้าน ทั้งในแง่การต้องสูญเสียอัตลักษณ์ ปัญหาคนพลัดถิ่น ปัญหาแรงงานข้ามชาติ ฯลฯ และต่อความสงบสุขในการอยู่ร่วมกันของผู้คนทั้งประเทศ ดังที่ปรากฏเหตุการณ์ความขัดแย้งทั้งระหว่างกลุ่มชน และความขัดแย้งที่มีต่อรัฐชาติอยู่ขณะนี้
ปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้าสังคมไทยได้นำความรังเกียจเดียดฉันท์ การแบ่งพรรคพวกอย่างรุนแรง และการใช้อำนาจอย่างไม่ชอบธรรมต่อประชาชนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนในสังคมไทย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนด้อยของความเข้าใจและการขาดความรับรู้เรื่องราวที่ถูกต้องของกลุ่มชาติพันุธ์ต่างๆ ที่มีอยู่มากมายหลากหลายในภูมิภาคนี้
การจัดสัมมนานานาชาติครั้งนี้ นอกจากเป็นเวทีให้กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ได้นำเสนอและถ่ายทอดตัวตนของตนเอง รวมถึงปัญหาตามสถานการณ์ที่เผชิญอยู่แล้ว ยังเป็นโอกาสให้นักวิชาการที่สนใจปัญหาเหล่านี้ ได้พบปะ แลกเปลี่ยน เสนอและเผยแพร่ความรู้ ความเข้าใจและการมีมุมมองที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มชาติพันธุ์ เพื่อให้เกิดความรับรู้ที่สร้างสรรค์ ทั้งยังส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างวัฒนธรรม และการธำรงอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งทั้งในด้านวิชาการและแนวทางในการพัฒนาแก้ไขปัญหาที่ละเอียดอ่อนดังกล่าวอย่างปราศจากอคติ
กลุ่มชาติพันธุ์ในสุวรรณภูมิสมัยก่อนล้วนเป็นบรรพชนคนไทยและคนอื่นๆ ในอุษาคเนย์ที่มีความสัมพันธ์แบบเครือญาติ
เครือญาติชาติพันธุ์และชาติภาษา
จากหนังสือสุวรรณภูมิ ต้นกระแสประวัติศาสตร์ไทย
ของ สุจิตต์ วงษ์เทศ
สำนักพิมพ์มติชน รวมพิมพ์ครั้งแรก 2549
คนสุวรรณภูมิ มีบรรพบุรุษคือมนุษย์อุษาคเนย์ที่เป็นเจ้าของซากอวัยวะ เช่น โครงกระดูก และเป็นเจ้าของวัฒนธรรมที่เหลือซากสิ่งของต่างๆ เช่น เครื่องมือหิน เครื่องปั้นดินเผา โลหะ ฯลฯ เหล่านั้น อาจจำแนกได้เป็นอย่างน้อย 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ คนที่สืบมาตั้งแต่ยุค "แผ่นดินซุนดา" นับแสนปีมาแล้ว กับคนที่เคลื่อนย้ายจากที่หลายแห่งเข้ามาตั้งหลักแหล่งตั้งแต่ยุค "โลหปฏิวัติ" ราว 3,000-4,000 ปีมาแล้ว
คนทั้งหมดล้วนเป็นบรรพบุรุษของคนปัจจุบัน
ยุคนั้นยังไม่มี "ชาติ" ทางการเมืองอย่างทุกวันนี้ และยังไม่มีชื่อสมมุติอย่างปัจจุบัน แต่สิ่งหนึ่งที่แสดงความแตกต่างบางประการ คือ ภาษา ที่แม้จะเป็น "เครือญาติ" มีรากเหง้าเดียวกัน แต่จำแนกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ เรียก "ตระกูลภาษา" ได้ราว 5 ตระกูล ดังนี้
1.ตระกูลมอญ-เขมร หรือออสโตรเอเชียติก (Austroasiatic Language family) เช่น พวกมอญ เขมร ลัวะ ละว้า และบรรดากลุ่มที่คนอื่นๆ เรียกอย่างดูถูกว่า ข่า ส่วย ม้อย ฯลฯ แยกเป็นภาษาหลักและภาษาถิ่นย่อยๆ อีกมาก ล้วนมีหลักแหล่งดั้งเดิมบนผืนแผ่นดินใหญ่ของอุษาคเนย์
2.ตระกูลชวา-มลายู หรือออสโตรนีเซียน หรือมาลาโยโพลินีเซียน (Austronesian or Malayo-Polynesian Language family) เช่น พวกชวาและหมู่เกาะอินโดนีเซีย มลายู จาม ฯลฯ มีหลักแหล่งตามชายฝั่งและหมู่เกาะทางตอนใต้ของอุษาคเนย์ รวมทั้งมอเก็นหรือ "ชาวเล" และ "เงาะ"
3.ตระกูลไทย-ลาว (Tai-Lao Language family) เช่น พวกไทย ลาว จ้วง หลี อาหม ฯลฯ มีหลักแหล่งทั้งหุบเขาและทุ่งราบบนผืนแผ่นดินใหญ่ของอุษาคเนย์ บริเวณตะวันออก-ตะวันตกสองฝั่งโขง
4.ตระกูลจีน-ทิเบต (Sino-Tibetan Language family) เช่น กะเหรี่ยง อะข่า (อีก้อ) ปะดอง ฯลฯ นอกจากนั้นยังมีพวกพม่า-ทิเบตด้วย
5.ตระกูลม้ง-เมี่ยน หรือแม้ว-เย้า (Hmong-Mien or Miao-Yao Language family) เช่น ม้ง (แม้ว) เมี่ยน (เย้า) มีหลักแหล่งอยู่บนดอยสูงทางตอนเหนือของผืนแผ่นดินใหญ่อุษาคเนย์
คนทั้ง 5 พวกนี้ล้วนเป็น "เครือญาติ" กันหมดไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เช่น เครือญาติชาติพันธุ์ เครือญาติทางภาษา เป็นต้น ดังนิทานกำเนิดมนุษย์จากน้ำเต้าปุง มีคน 5 จำพวกด้วย
"นาค" คือคนพื้นเมือง เปลือยเปล่าเหมือนงู
ชาวชมพูทวีป (หรืออินเดีย) ที่เอาศาสนาและอารยธรรมเข้ามาเผยแผ่ให้ชาวสุวรรณภูมิเลือกรับไว้ เรียกคนพื้นเมืองด้วยคำอารยันว่านาค หมายถึงเปลือย หรือแก้ผ้า เพราะเห็นคนพื้นเมืองมีเครื่องนุ่งห่มน้อยชิ้นจนเกือบเปลือยเปล่าเหมือนงูเงี้ยวที่เป็นสัตว์ร้ายทั่วไป