ในวรรณคดีก็มีกลอนเปล่า
ยูร กมลเสรีรัตน์
____________________________________________________________________
ประเด็นเรื่องกลอนเปล่า ผมเองก็ไม่มั่นใจว่าคำจำกัดความคืออะไร รู้แต่ที่เขาพูดกันในภาษาอังกฤษว่าBank Verse จริงหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ถ้าผมจะพูดต่อไปแล้วไม่ใช่Bank Verse อย่างที่พูดกัน หรือไม่ใช่อย่างที่ความเป็นไทยที่อวดกันอยู่ ก็ต้องขอประทานโทษด้วยว่าเราคิดกันคนละอย่าง เรามาพูดกันก่อนว่าภาษาของมนุษย์อย่างน้อยมีสองอย่าง หนึ่ง ภาษาพูด สอง ภาษาเขียน ปัจจุบันเราเอาแต่ภาษาเขียนมาเป็นตัวกำหนดสถาปนามาตรฐาน โดยละทิ้งภาษาพูด ทั้งๆ ที่เราก็พูดกันนั่นแหละ เพียงแต่ว่าเมื่อเวลาจะพูดกันในเรื่องมาตรฐานแล้ว มักจะต้องเอาภาษาเขียนมาเป็นตัวกำหนด ส่งให้ครูวรรณคดีทั่วประเทศลืมวรรณคดีภาษาพูด นอกจากลืมแล้วยังดูถูกอีกต่างหาก ยกย่องแต่ภาษาเขียนและเป็นภาษาเขียนเฉพาะในราชสำนักเสียด้วย ในราชสำนักลุ่มน้ำเจ้าพระยาเสียด้วย ลุ่มน้ำอื่นไม่มี
ข้อความข้างต้นเป็นคำพูดของสุจิตต์ วงษ์เทศ นักเขียน,กวีและศิลปินแห่งชาติ ผู้ซึ่งรอบรู้ด้านโบราณคดีและประวัติศาสตร์
นี่คือปัญหาที่บางครั้งเราอาจจะพูดกันคนละโลกหรืออยู่คนละขุม ผมขออธิบายเริ่มต้นเพียงว่าภาษาพูดมันมีมาก่อนภาษาเขียน แต่คนมักจะลืมไปว่าวรรณคดีที่เป็นภาษาเขียน ก็เอามาจากภาษาพูดก่อนเช่นขุนช้าง-ขุนแผน ก็มาจากภาษาพูดก่อน แล้วจึงมาเป็นภาษาเขียนคือกลอนเสภาทีหลัง ที่ผมเอ่ยว่าภาษาพูด ผมหมายถึงว่าย้อนหลังกลับไปอย่างน้อยก็สามพันปีตามหลักฐานที่ยืนยันว่ามีคนพูดภาษาตระกูลไทย-ลาวแล้ว ใครไม่เห็นด้วยก็ไม่เป็นไร เพียงแต่ผมเอาหลักฐานที่นักโบราณคดีและนักมนุษยวิทยาอธิบายไว้
กลุ่มภาษาพูดตระกูลไทย-ลาวเก่าสุด ปัจจุบันอยู่ในมณฑลกวางสี ตอนใต้ของจีนใต้ ลุ่มน้ำ
แยงซีเกียงเกียง ติดกับกวางตุ้งนั่นแหละ คำว่า กวางตุ้งกับคำว่ากวางสี ก็น่าเชื่อว่าเป็นภาษาตระกูล-ไทยลาวด้วย จริงหรือเท็จเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ภาษาพูดกลุ่มนี้ด้วยสำเนียงอย่างไรคงบอกไมได้ แต่มันมีลักษณะสืบเนื่องปัจจุบันคือคนกลุ่มจ้วงสำเนียงเดียวกับนครศรีธรรมราช ใกล้เคียงกับสำเนียงลาว
อีสาน ถือว่าเป็นสำเนียงเก่าแก่มาก ภาษาพูดแบบนี้แหละเริ่มเป็นคำ ๆ เริ่มเป็นวลี ๆ เป็นประโยคก็เป็นประโยคสั้น ๆ ประโยคสั้น ๆ มันเริ่มส่งสัมผัส เรารู้กันทั่วไปในชื่อคำคล้องจอง
เมื่อมีภาษาเขียนมีตัวอักษรขึ้น ก็เอาคำคลเองจองมาจัดระเบียบ คำคล้องจองเก่าสุด เรารู้จักกันทั่วไป เพียงแต่ว่าเราลืมไปแล้วคือร่าย ร่ายที่เรารู้จักในปัจจุบันเป็นร่ายที่สำนักลุ่มน้ำเจ้าพระยาปรุงแต่งแล้ว ถ้าร่ายในลักษณะโบราณเก่าเป็นพันปีขึ้นไป มันคือคำทำขวัญ คำทำขวัญก็สืบทอดมาจากหมอผี หมอผีเป็นผู้สืบศาสนาผี ศาสนาผีมีก่อนศาสนาพุทธ มีก่อนศาสนาพราหมณ์ โลกทั้งโลกเริ่มต้นด้วยศาสนาผี ถ้าศาสนาผีของกลุ่มสุวรรณภูมิหรือSouth East Asia ผู้นำทางศาสนาเป็นผู้หญิง ผู้หญิงเป็นหมอผีและเป็นหัวหน้าเผ่าพันธุ์ด้วย
สุจิตต์ วงษ์เทศสรุปตอนนี้ว่า หมอผีจะสื่อสารด้วยภาษาพิเศษคือส่งสัมผัสเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ได้เป็นระเบียบแน่นอน มีลักษณะเสรี ต่อเมื่อมีภาษาเขียนแล้ว จึงกำหนดกฎเกณฑ์มากขึ้น แล้วโยงถึงกลอนเปล่าจากการที่ได้กลอนเปล่า ทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ว่า เขารู้สึกว่ากลอนเปล่ามีลักษณะอย่างนั้น ด้วยกลอนเปล่าในความหมายของเขาคือเอาภาษาพูดมาเป็นภาษาเขียนหรือเขียนด้วยภาษาพูด ดังที่เขายกตัวอย่างจากพงศาวดารล้านช้าง
กาลเมื่อก่อนนั้นก็เป็นดินเป็นหญ้า เป็นฟ้าเป็นแถน ผีแลคนก็เที่ยวไปมาหากันบ่ขาด สำหรับผมมันคือกวี กลอนเปล่าหรือจะเรียกกลอนเปลือยก็ตามใจ มันงาม มันธรรมชาติ มันสวย มันยาวเอาตัวอย่างแค่นี้ ทั้งหมดนี้เขาต้องการพูดถึงมนุษย์กำเนิดอยู่ในหมากน้ำเต้าปรุง แล้วมีพี่น้องออกมาห้าคนห้าพวก เขาต้องการอธิบายถึงว่าคนในสุวรรณภูมิเป็นพี่น้องกันทั้งนั้น คนแรกออกมาผิวดำ เป็นพวกข่า คนกลางเป็นเวียดนาม คนสุดท้องเป็นลาวและไทย จะต้องทำความเข้าใจว่าสิ่งที่เรียกว่ากลอนเปล่า มันไม่ใช่เรื่องผิดปกติ มันเป็นเรื่องปกติของภูมิภาคนี้หรืออาจจะทั้งโลกก็ได้
สุจิตต์ วงษ์เทศอ้างเอกสารอยู่ชิ้นหนึ่งเรียกว่าความโทเมือง แปลความได้ว่า บทเล่าเรื่องความเป็นมาของเผ่าพันธุ์ตัวเอง บทนี้เป็นของไทยขาว ไทยขาวก็คือกลุ่มเดียวกันกับกลุ่มไทยดำไทยเดิม ปัจจุบันเรารู้จักกันในนามลาวโซ่ง แต่เขาเรียกตัวเขาเองว่าผู้ไท ลาวโซ่งน่ะ คนกรุงเทพฯเรียกเขา เอกสารชิ้นนี้ได้มาจากกลุ่มผู้ไทยขาว ดังที่เขายกตัวอย่าง.....
จี่ก่อเป็นดินเป็นหญ้า ก่อเป็นฟ้าท่อถวงเหด ก่อเป็นดินเจ็ดก้อน ก่อเป็นน้ำเก้าแควปากแททาว จี่ก็คล้าย ๆ จะ,เมื่อนั้น,บัดนั้น,จึง แปลความได้ว่า จี่ก่อเป็นดินเป็นหญ้า แล้วก่อเป็นฟ้าเท่ากับเห็ด หมายความว่ามนุษย์นั่งมองเห็นท้องฟ้าเหมือนตัวเองนั่งอยู่ใต้ดอกเห็ด ท้องฟ้านั่นแหละคือร่ม
เห็ด ก่อเป็นดินเจ็ดก้อน เออ!ทำไมต้องเจ็ดก้อน ผมไม่รู้เหมือนกัน ก่อเป็นน้ำเก้าแควปากแททาวก็คือ ก่อเป็นน้ำเก้าสาย ภาษาไทยขาวนะ ผมอาจจะอธิบายผิดบ้างก็ได้
แล้วสรุปว่าทั้งหมดนี้สำหรับเขาแล้วมันคือกลอนเปล่า เป็นบทกวีที่พูดถึงเผ่าพันธุ์ของตัวเอง และเล่าให้สมาชิกในเผ่าพันธุ์นั้นฟังในพิธีกรรมสำคัญคือพิธีกรรมเลี้ยงผีบรรพบุรุษ
พิธีสำคัญนี้จะทำปีละครั้งในฤดูเดือนห้าเดือนหก แล้วจะต้องร้องเพลงขับรำ พรรณนาถึงประวัติความเป็นมาของเผ่าพันธุ์ตัวเอง นี่คือคำทำขวัญที่ผมพูดได้ไปแล้ว นี่แหละคือกลอนเปล่าในความหมายของผม จากอันนี้เองเมื่อรับพระพุทธศาสนาแล้ว ลักษณะกลอนเปล่าที่ส่งสัมผัสเปลือย ๆ อย่างธรรมชาตินี้ จะมีอยู่ในศิลาจารึกเช่นจารึกปู่สบถหลาน คือจารึกสุโขทัยหลักที่ ๔๕ พบที่วัดมหาธาตุ สุโขทัย
นักโบราณคดีผู้นี้อธิบายถึงชื่อจารึกสบถหลานว่าปู่คือกษัตริย์เมืองน่าน หลานคือกษัตริย์สุโขทัย ปู่กับหลานทำสัตย์สาบานกันว่าจะไม่คิดคดทรยศกัน ซึ่งมีคำคล้องจองและไม่คล้องจอง เป็นความเรียงอย่างที่เขาใช้คำว่ากลอนเปล่า มีลีลาเดียวกัน
มีจารึกหลักหนึ่งที่ผมว่าควรรู้จักซักนิดหน่อย เป็นศิลาจารึกหลักที่ ๔๘ ทำขึ้นเมื่อพ.ศ.๑๙๕๑ ในรัชกาลสมเด็จพระนครินทราชาธิราช ซึ่งเป็นกษัตริย์อยุธยา เป็นสายสุพรรณมาครองอยุธยา...นะโมพุทธายะ ทศนัขคุณเทศ ผกาเแก้วเกษเศษบรมกษัตริย์ ทัดดินต่างปิ่นเกล้าเป็นทอง
มกุฏ สุดใจดินใจฟ้า... ลักษณะเรียงประโยค การใช้ถ้อยคำแบบนี้สำหรับผมแล้วคือกลอนเปล่า
ลีลากลอนส่งสัมผัสน้อย ๆและส่งสัมผัสเสรีในลักษณะนี้ สุจิตต์ วงษ์เทศขยายความต่อว่ามีอยู่ในบทละครนอกเรื่อง นางมโนห์รา เป็นบทละครนอกสิบเก้าเรื่องที่เป็นต้นฉบับสมุดข่อย
แต่มีเรื่องหนึ่งที่เอามาพิมพ์แพร่หลายคือเรื่องนางมโนห์รา เป็นกลอนเปล่ากลอนเปลือยส่งสัมผัสน้อยที่สุดและเป็นต้นแบบของกลอนบทละครทุกวันนี้ สำหรับผมแล้วกลอนเปล่าเป็นเรื่องดีงามเป็นเรื่องงอกงาม เป็นเรื่องของความเจริญเติบโต ถ้าคิดอะไรไม่ออก เขียนกลอนเปล่าก่อนเถอะ อย่าไปดัดจริตเป็นนักกลอนที่เขาเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ เอาไว้ถ้าสั่งสมประสบการณ์มากขึ้น แล้วค่อยทำเลียนแบบเขา สำหรับผมแล้วถ้าเริ่มต้นด้วยกลอนเปล่าได้เป็นดีที่สุดและผมคิดว่าเป็นโลกที่เปิดกว้างมหาศาลให้มนุษย์ทั่วไปเข้าถึงตัวอักษร ความรู้และความเป็นกาพย์กลอนโคลงทั้งหลาย
จงรักความถูกต้อง แต่ก็ให้อภัยความผิดพลาด (วอลแตร์)
หมายเหตุ-ทัศนะของสุจิตต์ วงษ์เทศดังกล่าวเป็นการเสวนาในหัวข้อ ในวรรณคดีก็มีกลอนเปล่า จัดโดยสมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทย ณ พระอุโบสถวัดเทพธิดารามเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๖ สิงหาคมที่ผ่านมา ผู้ร่วมเสวนาอีก ๔ คนคือเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ วัฒน์ วรรลยางกูร ยุทธ โตอติเทพและทองแถม นาถจำนง ผู้เขียนไปฟังตอนงานจะเลิกแล้ว เนื่องจากติดธุระ เห็นว่าหัวข้อน่าสนใจ จึงขอยืมม้วนเทปที่อัดเสียงมา ตั้งใจจะเขียนเป็น ๓ ตอน แต่ปรากฏว่าม้วนเทปติดแต่เสียงของสุจิตต์ วงษ์เทศเพียงคนเดียว เป็นที่น่าเสียดายมากและขออภัยมาเป็นอย่างสูง แต่อย่างน้อยถือว่านักเขียน-กวีดังกล่าวมานี้ได้เปิดประเด็นที่ท้าทายวงวิชาการแล้ว ณ ห้วงเวลานี้